นายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำ พร้อมการบรรยายพิเศษ “นโยบายของการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำ” แก่คณะกรรมการอำนวยการเพื่อการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำ และบุคลากรที่ปฏิบัติงานในหน่วยงานเกี่ยวข้อง ได้แก่ โรงพยาบาลที่มีเรือนจำตั้งอยู่ในพื้นที่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด กองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กรมราชทัณฑ์ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จำนวน 450 คน
นายแพทย์ประพนธ์กล่าวว่า จากการลงนามบันทึกความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำ เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2562 ที่ผ่านมาระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กรมราชทัณฑ์ และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้มีแนวทางในการดูแลสุขภาพของผู้ต้องขัง โดยเฉพาะปัญหาโรคติดต่อ โรคเรื้อรัง สุขภาพจิต ทั้งขณะที่อยู่ในเรือนจำ และการวางแผนสุขภาพเมื่อผู้ต้องขังพ้นโทษไปแล้ว ให้สถานพยาบาลในเรือนจำ 131 แห่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำงานร่วมกับโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จัดบริการให้ผู้ต้องขังเข้าถึงบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน ทั้งการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันควบคุมโรค การรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสมรรถภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างเหมาะสม ตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในรูปแบบคณะกรรมการ ติดต่อประสานงาน ตลอดจนติดตามประเมินผลร่วมกัน
สำหรับการประชุมในวันนี้ เป็นการประชุมเพื่อชี้แจงนโยบายของการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำของกระทรวงสาธารณสุข ตามบันทึกความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำ ปี 2562 – 2563 มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลและเรือนจำ จัดทำแผนปฏิบัติการร่วมกันในการจัดบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำ กิจกรรมประกอบด้วย การบรรยาย การอภิปรายและการประชุมกลุ่มย่อย ช่วยให้ผู้ต้องขังในเรือนจำได้รับบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้นโยบายการคืนคนดีสู่สังคมบรรลุเป้าหมายและประสบความสำเร็จ โดยการคืนคนสุขภาพดีสู่สังคม และไม่ทิ้งกลุ่มคนด้อยโอกาสที่สุดของประเทศไว้ข้างหลัง