ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
คุณภาพชีวิต ย้อนกลับ
กรมควบคุมโรค เปลี่ยนยารักษาโรคไข้มาลาเรียขนานแรก ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ และอุบลราชธานี หลังพบว่ามีอัตราการรักษาหายขาดต่ำกว่าเกณฑ์ของ WHO
24 ก.ค. 2562

 

            กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เฝ้าระวังประสิทธิภาพยารักษาโรคไข้มาลาเรียอย่างต่อเนื่อง หลังพบว่า จังหวัดศรีสะเกษ และอุบลราชธานี มีอัตราการรักษาหายขาดต่ำ จึงได้มีการเปลี่ยนยารักษาโรคไข้มาลาเรียขนานแรกเฉพาะพื้นที่ และดำเนินมาตรการกำจัดเชื้อมาลาเรียดื้อยาอย่างต่อเนื่อง

            วันนี้ (24 กรกฎาคมาคม 2562) นายแพทย์อัษฏางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีและโฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวว่า          จากวารสารทางการแพทย์ ที่ได้เผยแพร่ข้อมูลว่าในหลายพื้นที่ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ เวียดนาม กัมพูชา และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อปรสิตพลาสโมเดียม ที่ดื้อต่อยารักษามาลาเรีย 2 ชนิด ที่มีการใช้รักษาโรคไข้มาลาเรียในปัจจุบัน นั้น กรมควบคุมโรค ได้มีการเปลี่ยนยารักษาโรคไข้มาลาเรียขนานแรก ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย (จังหวัดศรีสะเกษ และอุบลราชธานี) และดำเนินการเฝ้าระวังเชื้อมาลาเรียดื้อยาอย่างใกล้ชิด

            ข้อมูลจากกองโรคติดต่อนำโดยแมลง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมถึง 22 กรกฏาคม พ.ศ. 2562 พบรายงานผู้ป่วยโรค ไข้มาลาเรีย 3,279 ราย (เป็นคนไทย 2,345 ราย คิดเป็นร้อยละ 72) เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา ณ ช่วงเวลาเดียวกัน  (ปี 2561 พบผู้ป่วย 4,243 ราย)  พบว่าจำนวนผู้ป่วยลดลงร้อยละ 23 จังหวัดที่พบผู้ป่วยสูงสุด 3 อันดับแรกได้แก่ ตาก ยะลา และกาญจนบุรี ส่วนชนิดของเชื้อที่พบส่วนใหญ่ คือ เชื้อไวแวกซ์ ร้อยละ 82 และฟัลซิปารัม ร้อยละ 14  สำหรับพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาที่พบรายงานเชื้อมาลาเรียดื้อยา ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ พบผู้ป่วย 127 ราย (ลดลงร้อยละ 76        ณ ช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา) เช่นเดียวกับจังหวัดอุบลราชธานี พบผู้ป่วย 98 ราย (ลดลงร้อยละ 71)

            นายแพทย์อัษฏางค์ กล่าวต่อไปว่า จากข้อมูลการเฝ้าระวังประสิทธิภาพยารักษาโรคไข้มาลาเรีย ปี 2561 พบว่าประสิทธิภาพของการรักษาผู้ป่วยมาลาเรียฟัลซิพารัมที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนด้วยยาไดไฮโดรอาร์ติมิซินิน-ไปเปอร์ราควิน(DHA-PPQ) ในภาพรวมของประเทศมีอัตราการรักษาหายขาด คิดเป็นร้อยละ 94.7 แต่ในจังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดอุบลราชธานี พบการรักษาหายขาด เพียงร้อยละ 81.8 และ 90 ตามลำดับ ซึ่งน้อยกว่าเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก        ที่ต้องมากกว่าร้อยละ 90 จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายและแนวทางการใช้ยารักษามาลาเรีย เมื่อวันที่               20 กุมภาพันธ์ 2562 นั้น มีมติให้เปลี่ยนยารักษาโรคไข้มาลาเรียขนานแรก สำหรับรักษามาลาเรียฟัลซิปารัมที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน จากยาไดไฮโดรอาร์ติมิซินิน-ไปเปอร์ราควินร่วมกับไพรมาควิน เป็นยาอาร์ติซูเนต-ไพโรนาริดีน ร่วมกับยาไพรมาควิน เฉพาะในจังหวัดศรีสะเกษ และอุบลราชธานี สำหรับในพื้นที่อื่นของประเทศไทย ยังคงใช้ยารักษาสูตรเดิม     (ยาไดไฮโดรอาร์ติมิซินิน-ไปเปอร์ราควินร่วมกับไพรมาควิน) และได้ดำเนินการเฝ้าระวังเชื้อมาลาเรียดื้อยา และเพิ่มศักยภาพและความครอบคลุมของการให้บริการ ตามยุทธศาสตร์การกำจัดโรคไข้มาลาเรียประเทศไทย พ.ศ. 2560-2569

            สำหรับมาตรการกำจัดเชื้อมาลาเรียดื้อยา ประกอบด้วย 1.การแลกเปลี่ยนข้อมูล สถานการณ์โรคไข้มาลาเรียระหว่างประเทศ  2.เพิ่มศักยภาพประเทศเพื่อนบ้านในการกำจัดโรคไข้มาลาเรีย  3.มีระบบการเฝ้าระวังเชื้อมาลาเรียดื้อยา และเพิ่มศักยภาพและความครอบคลุมของการให้บริการ  4.การควบคุมยุงพาหะ โดยพ่นสารเคมี และสนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันยุงพาหะสำหรับประชาชนในพื้นที่ที่มีเชื้อมาลาเรียอย่างใกล้ชิด โดยได้รับความร่วมมือจากโครงการกองทุนโลกด้านมาลาเรีย (Global fund: RAI2E) องค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐ (USAID) และกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงต่างประเทศ (TICA) และได้รับการสนับสนุนทางวิชาการจากองค์การอนามัยโลก มหาวิทยาลัยและเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ

            ทั้งนี้ ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยง หรือผู้ที่เดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง ควรป้องกันตนเองจากยุงกัด โดยการ      สวมเสื้อผ้าให้มิดชิด นอนในมุ้งหรือห้องที่มีมุ้งลวด ทายากันยุง เป็นต้น หากมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ หนาวสั่น ภายหลังกลับจากป่า ขอให้รีบไปพบแพทย์ทันที หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 พฤศจิกายน 2567
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
12 ก.ย. 2567
กล่าวได้ว่าบทบาทของตำรวจไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน หลายท่านหลายคน หลังจากผ่านความเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบากในการผดุงความยุติธรรม ไล่จับคนร้ายทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กมาตลอดชีวิตราชการ เห็นความทุกข์ยาองประชาชน เห็นปัญหาของสังคมในทุกแง่มุม อดไม่ได้ที่หลังเกษียณจะก้าวเข้าส...