นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวในงานเสวนา “งบประมาณพัฒนาประเทศได้จริงหรือ?” ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ จัดโดยสภาที่ 3 และ คณะกรรมการญาติพฤษภา 35 ว่า เมื่อได้ศึกษารายละเอียดของงบประมาณปี 63 แล้ว เป็นห่วงว่างบประมาณจะไม่สามารถพัฒนาประเทศได้จริง เพราะการจัดงบประมาณเป็นแนวทางเดิมเช่นเดียวกับ 5 ปีที่ผ่านมาที่เศรษฐกิจไทยย่ำแย่มาตลอด
ปัญหาการจัดงบประมาณไม่มีประสิทธิภาพได้ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย เพิ่มเติมจาก การส่งออกที่ติดลบและการลงทุนที่หดหายแล้ว ทั้งนี้เพราะรัฐบาลให้ความสำคัญกับงบทหารและงบความมั่นคงมากกว่างบประมาณที่จะพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งงบประมาณที่ใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจหลังจากหักงบทหารและงบความมั่นคงแล้ว เหลือน้อยมาก แถมเงินที่ใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจยังถูกใช้ไปแจกอย่างอีลุ่ยฉุยแฉกไม่ได้พัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทำให้ความสามารถแข่งขันของไทยไม่พัฒนาเลยตลอด 5 ปี แถมยังลดลงอีกด้วย โดยล่าสุดอันดับความสามารถแข่งขันไทยหล่นมาอยู่ที่อันดับ 40 ในขณะที่เวียดนามดีขึ้นมา 10 อันดับเลย ซึ่งอีกไม่นานเวียดนามคงแซงไทยแน่ ถ้ายังมีรัฐบาลที่คิดไม่เป็นแบบนี้
การแจกเงินไม่ได้พัฒนาหรือเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ไม่เคยปรากฏว่าในโลกมีประเทศไหนที่แจกเงินแล้วประเทศเจริญ ถ้าคิดได้เพียงการแจกเงิน ก็ไม่ต้องมีรัฐบาลก็ได้ เพราะไม่ต้องใช้สมอง ที่พลเอกประยุทธ์เคยถามตนว่าจบอะไรมา เลยอยากบอกพลเอกประยุทธ์กลับไปว่าไม่ต้องจบอะไรเลยก็คิดแจกเงินได้ เฝพลทหารก็คิดได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นถึงพลเอก
ตามหลักการแล้วในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ เอกชนไม่ลงทุน รัฐต้องเป็นผู้ลงทุนเองและควรต้องลงทุนมากๆด้วย แต่ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์แล้วว่ารัฐบาลไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญของการลงทุนได้ รัฐบาลสร้างหนี้สาธารณะเพิ่มกว่า 2 ล้านล้านบาท แต่เศรษฐกิจกลับย่ำแย่ และ ประเทศแทบไม่ได้พัฒนาเลย ประชาชนไม่ได้รู้สึกเลยว่ารัฐบาลได้พัฒนาอะไรที่จับต้องได้
ดังนั้น การจัดทำงบประมาณในอนาคตควรจะต้องรื้อใหม่หมด และนำมาเรียงลำดับความสำคัญของงบประมาณ ในแต่ละกระทรวงและหน่วยงาน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ ไม่ใช่อ่อนด้อยเหมือนในปัจจุบัน
ที่สำคัญที่สุดคือประเทศไทยต้องเรียนรู้จากอดีต การสร้างความกลัว เหมือนการสร้างผี เพื่อให้ประเทศวุ่นวายและจะได้เข้ามายึดครองอำนาจได้ ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศมากว่า 13 ปีแล้ว หากยังคงจะยังไม่เลิกการสร้างผีกันอีก ประเทศจะยิ่งเสียหายอย่างมากและจะยิ่งเสื่อมถอยลงไปอีก
ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องยืนอยู่บนหลักเกณฑ์สากลและความถูกต้อง อะไรถูกก็คือถูก และอะไรผิดก็คือผิดไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน เพื่อประเทศไทยจะได้ก้าวหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคงในอนาคต และจะสามารถสร้างความเชื่อถือให้กลับมาสู่ประเทศได้ มิเช่นนั้นงบประมาณมากขนาดไหนก็ไม่สามารถพัฒนาประเทศไทยให้แข่งขันได้ ถ้าไม่เป็นที่ยอมรับของประชาคมโลก