นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า ตามที่ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลนำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออก ชิมช้อปใช้ รอบ 2 แจกเงิน 1,000 บาทเพิ่มให้อีก 3 ล้านคน และการรับเงินชดเชยคืน 15-20% หลังเที่ยวแล้ว โดยโปรโมทเหมือนกับว่านี่เป็นนโยบายหลักทางเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำให้สงสัยว่าที่พลเอกประยุทธ์กล่าวในสภาผู้แทนราษฏร อ้างว่ารู้มากกว่าเพราะอาบน้ำร้อนมาก่อน แต่กลับคิดแนวทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ทรุดหนักได้เพียงเท่านี้เองหรือ
ทั้งนี้ ได้พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนแล้วว่า การเกิดก่อนและอาบน้ำร้อนมาก่อน ไม่ได้หมายความว่าจะพัฒนาให้มีความคิดที่ดีกว่าได้ ทั้งนี้เพราะการแจกเงินชิมช้อปใช้ ซึ่งประชาชนนำไปใช้แล้วก็หมดไป ไม่ได้สร้างความยั่งยืนทางการพัฒนา หรือ ความยั่งยืนทางรายได้ และที่สำคัญไม่ได้แก้ปัญหาการว่างงานที่จะเกิดขึ้นรวมแล้วกว่า 5 แสนคนในปีหน้าได้ นักศึกษาที่จบใหม่จะตกงานกันอย่างมาก ทั้งนี้มาจากการลงทุนที่หดหายมากว่า 5 ปี หลายบริษัทใหญ่เช่น ไทยซัมมิท ยังต้องประกาศหยุดการผลิต 2 เดือน เพราะคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเข้ามาลดลงจากผลพวงของเศรษฐกิจโลก
โดยสื่อหลักทางเศรษฐกิจของต่างประเทศหลายสำนักเชื่อกันว่าอีก 12-18 เดือน เศรษฐกิจโลกจะยิ่งตกต่ำหนัก และอาจถึงขั้นเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ แต่รัฐบาลกลับคิดแจกเงินให้คนใช้และเที่ยวอย่างเดียว ซึ่งไม่ได้มีการเตรียมการเพื่อรองรับเศรษฐกิจโลกที่กำลังจะย่ำแย่เลย และเมื่อเศรษฐกิจไทยย่ำแย่ รัฐบาลก็จะโทษไปที่เศรษฐกิจโลก ซึ่งต่างกับรัฐบาลเวียดนามที่ปรับตัวเตรียมการ และได้ประโยชน์จากสงครามการค้าอย่างมาก และยังสามารถพัฒนาอันดับความสามารถแข่งขันของประเทศได้อย่างก้าวกระโดด
รัฐบาลอาจจะคิดว่าการแจกเงินอาจจะช่วยไม่ให้กระแสความนิยมของรัฐบาลที่ตกต่ำอยู่แล้วไม่ให้ตกต่ำลงไปอีก แต่รัฐบาลอาจจะลืมไปว่าเมื่อเศรษฐกิจโลกตกต่ำจริงแต่รัฐบาลแจกเงินแบบอีลุ่ยฉุยแฉกไปแล้ว จะไม่มีกระสุนเหลือให้ใช้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่จะย่ำแย่ลงไปอีกได้ อีกทั้งการรับเงินคืนหลังเที่ยว 15 -20% ก็จะไม่ต่างอะไรกับช้อปช่วยชาติและหักภาษีคืนในอดีตที่ไม่เคยเกิดผลดีต่อเศรษฐกิจเลย และรัฐก็เสียรายได้ไปเปล่าๆ แถมหลายครอบครัวอาจจะต้องกู้เงินไปเที่ยวเพียงเพื่อหวังเงินชดเชย ซึ่งจะยิ่งทำให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นไปอีก ดังนั้น จึงอยากให้รัฐบาลได้คิดนโยบายเพื่อรองรับเศรษฐกิจโลกที่กำลังจะตกต่ำในอนาคตได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่คิดแต่แจกเงินเพื่อเอาใจประชาชนแบบเล่นขายขนมเหมือนในปัจจุบัน รัฐบาลที่ดีต้องรู้จักคาดการณ์และเตรียมการรองรับภาวะเศรษฐกิจล่วงหน้า ซึ่งตลอด 5 ปีนี้รัฐบาลไม่ได้ทำเลย
นอกจากนี้ยังเป็นห่วงประชาชนที่เริ่มมีพฤติกรรมก้าวร้าว อวดเบ่ง หงุดหงิด ฉุนเฉียวเพิ่มขึ้นกันมากแบบผิดปกติ ซึ่งนอกจากเกิดจากปัญหาทางเศรษฐกิจแล้ว หลายคนยังสงสัยว่าอาจจะเกิดมาจากการเลียนแบบผู้นำที่มีพฤติกรรมฉุนเฉียวเช่นนั้นเหมือนกันก็เป็นได้
อย่างไรก็ดี ยินดีเป็นอย่างยิ่งและขอชมที่ พลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้เดินทางไปเข้าพบคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎรด้วยตัวเอง และ ถ้าหากสามารถแก้ปัญหาเรื่องที่ กอ. รมน. ฟ้อง 12 คนของฝ่ายค้านในเวทีภาคใต้ได้ ก็จะยิ่งทำให้บรรยากาศระหว่างทหารและนักการเมืองดีขึ้นมาก นอกจากนี้หาก พลเอกอภิรัชต์ จะสามารถแปลงงบประมาณหรือเจียดงบประมาณบางส่วนของกองทัพ เพื่อมาช่วยเหลือประชาชนทางเศรษฐกิจ เช่น การพัฒนาระบบชลประทาน การขุดบ่อเก็บน้ำ ฯลฯ ก็จะยิ่งแสดงถึงความห่วงใยของทหารที่มีต่อประชาชนในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ และจะเป็นแบบอย่างให้รัฐบาลได้คิดและปฏิบัติตาม
โดยอยากบอกให้รัฐบาลได้รับรู้ว่า ความมั่นคงของประเทศที่แท้จริงคือความมั่นคงของปากท้องของประชาชน หากเศรษฐกิจย่ำแย่ ปากท้องของประชาชนมีปัญหา ไม่ว่าประเทศไหนก็ไม่มั่นคง แม้กระทั่งประเทศสหภาพโซเวียดในอดีต ที่มีกองทัพและยุทโธปกรณ์ที่เข้มแข็งมากก็ยังต้องแตกสลายกลายเป็นหลายประเทศก็เพราะพิษเศรษฐกิจ และปัญหาปากท้องของประชาชน ซึ่งทำให้ระบอบคอมมิวนิสต์ต้องพังสลายตามไปด้วยในที่สุด