“ประภัตร”ดันสินค้าส่งออกต่างประเทศต้องมีเครื่องหมาย Q เพื่อย้ำมาตรฐานความปลอดภัยให้กับผู้บริโภค นำร่อง ‘เมล่อน’ เมืองสุพรรณฯ ผลิตสินค้ามาตรฐานป้อนตลาด พร้อมกระตุ้นผู้บริโภคเข้าถึงตลาดออนไลน์ และแหล่งผลิตสินค้า Q
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการกระชุมตรวจติดตามความก้าวหน้าการผลักดันและส่งเสริมสินค้าที่ได้รับการรับรอง GAP ให้ใช้และแสดงเครื่องหมาย Q ณ ห้องประชุมพระพิรุณ 111 สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ผลักดันให้มีการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยต่อผู้บริโภค โดยส่งเสริมการผลิตตั้งแต่ฟาร์มให้มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practice : GAP) โดยมีการใช้สารเคมีอย่างถูกต้อง เหมาะสม และจำกัดตามหลักวิชาการ และมีการให้สัญลักษณ์ Q เพื่อรับรองมาตรฐาน ซึ่งจะทำให้สามารถสื่อสารกับผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ จึงมีนโยบายที่จะผลักดันและส่งเสริมสินค้าที่ได้รับการรับรอง GAP ให้ใช้และแสดงเครื่องหมาย Q เพื่อเพิ่มมูลค่าการตลาดให้กับสินค้าเกษตร อาทิ ข้าวสาร ผัก และผลไม้
นายประภัตร กล่าวว่า มกอช.ได้ดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว โดยคัดเลือกเมล่อนประสิทธิฟาร์ม ต.ดอนคา อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี เป็นพื้นที่นำร่อง ในการผลักดันและส่งเสริมสินค้าที่ได้รับการรับรอง GAP ให้ใช้และแสดงเครื่องหมาย Q โดยสนับสนุนการแสดงเครื่องหมาย Q สนับสนุนสินค้าที่ได้มาตรฐานสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทั้งมาตรฐานและข้อมูลของเกษตรกร พร้อมหาตลาดรองรับให้กับเกษตรกร ได้แก่ ตลอดออนไลน์ www.dgtfram.com ร้าน Q4U (ร้านใน มกอช.) องค์การตลาดเพื่อการเกษตร (อ.ต.ก.) และห้างโมเดิร์นเทรด อย่างไรก็ตาม นอกจากเกษตรกรจะมีช่องทางการจำหน่ายมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นแล้ว เกษตรกรยังมีสินค้าที่ได้มาตรฐานสู่ผู้บริโภค รวมทั้งผู้บริโภคเข้าถึงสถานที่จำหน่ายและแหล่งผลิตสินค้า Q อีกด้วย
“ปัจจุบันหลายประเทศให้ความสำคัญกับการบริโภคที่คำนึงถึงสุขภาพมากขึ้น ดังนั้นสินค้าเกษตรที่ส่งออกไปต่างประเทศจะต้องมีสัญลักษณ์ Q เพื่อแสดงถึงสินค้าที่ได้มาตรฐานและความปลอดภัยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค และให้เกษตกรได้รักษาคุณภาพสินค้า เป็นการสร้างตลาดให้กว้างขึ้น ทั้งยังเพิ่มมูลค่าอีกด้วย โดยได้เน้นย้ำให้ มกอช. เร่งสร้างการรับรู้ให้เกษตรกร ผู้บริโภค และผู้ขายได้รู้จักมากยิ่งขึ้น เพราะมีความสำคัญ ทำให้ทุกคนได้เห็นว่าสินค้าที่มีสัญลักษณ์ Q และไม่มีนั้น แตกต่างกันอย่างไร เพื่อให้ผู้บริโภคหันมาเลือกซื้อสินค้าที่มีสัญลักษณ์ Q มากขึ้น
ขณะเดียวกันต้องลงพื้นที่ตรวจสอบสินค้าเกษตรที่มี GAP แล้วทุกชนิดเพื่อติดตราสัญลักษณ์ Q ให้ชัดเจน ซึ่งจากนี้จะขยายผลไปสู่ผัก และผลไม้ชนิดอื่นๆ ต่อไป นอกจากนี้ต่างประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่นและออสเตรเลียมีความต้องการลำไยและส้มโอมากในฤดูกาลนี้ดังนั้นจึงต้องเร่งส่งเสริมสัญลักษณ์ Q เพื่อสร้างความมั่นใจในมาตรฐานและความปลอดภัยให้กับสินค้าส่งออก ตลอดจนมีการส่งเสริมการตลาดออนไลน์ โดยส่งเจ้าหน้าที่ไปศึกษาเรียนรู้ เพื่อนำมาปรับใช้ ปัจจุบันมีสินค้าที่มีสัญลักษณ์ Q จำหน่ายออนไลน์อยู่ในขณะนี้ประมาณ 300 รายการ และจะขยายเพิ่มขึ้นอีก“ นายประภัตร กล่าว
ด้าน นางสาวจูอะดี พงศ์มณีรัตน์ เลขาธิการ มกอช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สินค้าเกษตรที่ได้รับการรับรองเครื่องหมาย Q เป็นสินค้าที่มีคุณภาพและความปลอดภัยต่อผู้บริโภคตั้งแต่การผลิตในระดับฟาร์ม ซึ่งต้องปฏิบัติสอดคล้องกับมาตรฐาน GAP รวมทั้งโรงคัดบรรจุผักผลไม้ โรงฆ่าสัตว์ ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ การผลิตต้องสอดคล้องกับมาตรฐานการปฏิบัติในการผลิตที่ดี (Good Manufacturing Practices : GMP)โดยปัจจุบัน มีเกษตรกรที่ได้รับการรับรอง GAP จำนวน 297,874 ใบ (190,815 ราย) แบ่งเป็น พืช 144,762 ใบ (127,867 ราย) ปศุสัตว์ 18,309 ใบ (18,307 ราย) ประมง 221 ใบ (221 ราย) และข้าว 134,582 ใบ (44,420 ราย)
“ที่ผ่านมา มกอช. ได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน เช่น ห้างโมเดิร์นเทรด ตลาดสดต่างๆ ในการสนับสนุนส่งเสริมการขายสินค้าเกษตรและอาหารที่มีเครื่องหมาย Q โดยเปิดให้มีมุมจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมาย Q เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับสินค้าที่มีคุณภาพให้มากยิ่งขึ้น และผู้บริโภคสามารถเลือกหาซื้อสินค้าที่มีคุณภาพ ความปลอดภัยและมีมาตรฐาน ได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ ผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมาย Q จะต้องรักษาคุณภาพ ความปลอดภัย และได้มาตรฐานอย่างสม่ำเสมอ เพราะหน่วยงานที่ให้การรับรองจะทำการติดตามตรวจสอบเป็นระยะ หากพบว่าไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข หรือไม่รักษาคุณภาพ ความปลอดภัย ตามมาตรฐาน จะถูกยกเลิกการใช้เครื่องหมาย Q ฉะนั้น สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการเลือกหาสินค้าคุณภาพ ปลอดภัย ได้มาตรฐาน ต้องเลือกสินค้าที่มีเครื่องหมาย Q เท่านั้น”เลขาธิการ มกอช. กล่าว