“ทางกระทรวงฯ จะเริ่มการกระจายอำนาจเรื่องการบริหารงานบุคคล การโยกย้ายภายในเขตสุขภาพต่างๆ ซึ่งการจะเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ ต้องมีธรรมาภิบาลในการทำงาน และการมีส่วนร่วมประสานงานร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมด้วย”
พูดถึงเรื่องการเจ็บป่วยของคนไทยทุกวันนี้ หลายคนคงนึกภาพออก ถึงความแออัดที่เกิดขึ้นกับโรงพยาบาล โดยเฉพาะโรงพยาบาลของรัฐ รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูยังจะขาดแคลนอยู่ไม่ใช่น้อย อปท.นิวส์เชิญเป็นแขกฉบับนี้จึงขอนำท่านผู้อ่านมารู้จักกับบุคคลสำคัญผู้หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง นั่นก็คือ นพ.สุขุม กาญจนพิมาย หรือคุณหมอสุขุม ปลัดกระทรวงสาธารณสุขคนปัจจุบัน
คุณหมอสุขุม เริ่มล่าให้ฟังถึงเรื่องการศึกษาว่า เริ่มเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญศึกษาและมาจบการศึกษาแพทย์ศาสตร์บัณฑิตที่ศิริราชพยาบาลต่อด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งพื้นฐานจะเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจและรับผิดชอบดูแลโรคทรวงอกมาโดยตลอด
คุณหมอสุขุม เล่าให้ฟังต่อไปว่า ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าคนไทยป่วยเป็นโรคหัวใจกันมากแต่กลับได้รับการรักษาที่ถูกต้องไม่ถึงครึ่งจึงทำให้เกิดการเสียชีวิตที่สูง ดังนั้นการทำงานของคุณหมอ จึงพยายามที่จะมุ่งไปที่การพัฒนาในพื้นที่ต่างๆให้มีการรักษาที่ถูกต้องทั้งนี้ ก็เพื่อให้การเข้าถึงการรักษาพยาบาลเป็นไปได้มากขึ้น และที่สำคัญทำให้การเสียชีวิตของผู้ป่วยลดลงได้ด้วย
คุณหมอสุขุม ยังฝากให้ความรู้ไปถึงพี่น้องประชาชนด้วยว่า ให้หมั่นตรวจสุขภาพ และหากมีอาการที่คิดว่าสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นเพศชายอายุเกิน 40 ปี หรือเพศหญิงหลังหมดประจำเดือน มีอาการหายใจเหนื่อยหอบ มีโรคประจำตัวเบาหวาน ความดัน หรือมีภาวะโรคอ้วนก็สามารถมายังโรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจรักษาได้
คุณหมอสุขุม เล่าต่อด้วยว่านอกจากนี้คุณหมอยังได้ทำศูนย์กลางการแพทย์นานาชาติในเรื่องของสปาไทยและการนวดรวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชนและพัฒนาอาสาสมัครประจำครอบครัว (อสค.) ที่ขยายมาจากอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) ด้วยการให้คนในครอบครัวมีความรู้ในเรื่องการรักษาพยาบาล ซึ่งเรื่องนี้ถือว่ามีความสำคัญเพราะถ้าคนในครอบครัวมีความรู้ความเข้าใจในการรักษาพยาบาลจะได้รับการดูแลที่ดีขึ้น เช่นเรื่องของการรับประทานยา คือถ้าหากเป็นความดันก็จะต้องมีการทานยาทุกวัน ซึ่งหากให้คนไข้รับประทานยาเองบางครั้งอาจหลงลืมได้
ดังนั้นหากให้พี่น้องหรือคนในครอบครัวช่วยกันมีองค์ความรู้ในส่วนนี้ก็จะช่วยกันเตือนและดูแลซึ่งกันและกันในเบื้องต้นได้ ซึ่งเมื่อมาเป็นอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็ได้มีการพัฒนานวัตกรรมต่างๆ ด้วยการพัฒนาสินค้าของพี่น้องในชุมชนและพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น สบู่ แชมพู เพื่อการพัฒนาดูแลท้องถิ่นให้ก้าวหน้าและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
คุณหมอ บอกด้วยว่า เมื่อได้เข้ามารับหน้าที่ในส่วนของการเป็นปลัดกระทรวงสาธารณสุข คุณหมอมองว่าสิ่งสำคัญคือการให้พี่น้องประชาชนเข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม คือวันนี้เวลาคนมีอาการเจ็บป่วยก็จะนึกถึงเพื่อนหรือญาติที่เป็นหมอแล้วโทรไปหาเพื่อขอความข่วยเหลือหรือดูแล ซึ่งคุณหอมองว่าหากดำเนินการในเรื่องนี้และทำเรื่องหมอครอบครัวขึ้นมาเพื่อเวลาประชาชนเจ็บป่วยก็สามารถสอบถามและหมอครอบครัวก็จะให้คำแนะนำได้ทันทีว่ารักษาเบื้องต้นอย่างไร หรือควรต้องไปโรงพยาบาลไหนทันทีหากเกิดอาการฉุกเฉิน ซึ่งพอมีหมอครอบครัวที่จะคอยดูแลอย่างเป็นระบบที่ดีก็จะทำให้ลดอาการแออัดในโรงพยาบาล และจะทำให้รู้ว่าจะดูแลรักษาตัวเองในเบื้องต้นได้อย่างถูกวิธีด้วย
นอกจากนี้ เรื่องของการลดความแออัดในโรงพยาบาล ก็เป็นอีกเรื่องที่กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญว่าจะช่วยพี่น้องประชาชนได้อย่างไร เพราะการเจ็บป่วยสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นจะทำอย่างไรให้พี่น้องประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ตลอด 24ชั่วโมงและเป็นไปอย่างมีมาตรฐาน ซึ่งการดำเนินการเรื่องหมอครอบครัวนี้ก็จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้
คุณหมอสุขุม พูดถึงวิสัยทัศน์ในการทำงานด้วยว่า ตั้งใจและมีความมุ่งหวังให้พี่น้องประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ และลดอุปสรรคของการเข้าถึงการรักษาพยาบาล ซึ่งในส่วนของบุคลากรทางการแพทย์เองก็ต้องมีการดูแลและให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน คือจะทำอย่างไรให้แพทย์และบุคลากรของมีศักยภาพและมีความรู้ครอบคลุมและที่สำคัญจะทำอย่างไรให้บุคลากรมีขวัญและกำลังใจ เพราะบ้างครั้งในการให้บริการระหว่างแพทย์กับประชาชนอาจมีความไม่เข้าใจหรือกระทบกระทั่งกันเกิดขึ้น
ดังนั้นจะทำอย่างไรให้ประชาชนเข้าใจในการทำงานของเราด้วย ซึ่งเรื่องนี้จะทำให้บุคลากรทางการแพทย์เองสามารถดูแลผู้ป่วยอย่างมีความสุข คือถ้าเขามีความสุข รู้สึกว่าได้รับการใส่ใจ การทำงานในการดูแลผู้ป่วยก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตามหากพูดถึงปัญหาและอุปสรรคในการทำงาน คุณหมอสุขุม กล่าวว่าอยากที่จะพัฒนาในเรื่องของคน คือบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุขเองต้องได้รับการพัฒนาทั้งเรื่องของสมรรถนะในการทำงานและตรงกับความต้องการ /ได้รับการดูแลขวัญกำลังใจและค่าตอบแทนที่เป็นธรรม /สามารถปกป้องบุคลากรของเราให้ได้รับการดูแล อย่างเช่นเรื่องเวลาในการทำงานก็ควรจะเหมาะสมเพื่อที่จะได้มีร่างกายที่มีความพร้อมในการทำงาน
นอกจากนี้คงเป็นเรื่องการกระจายอำนาจจากส่วนกลาง โดยคุณหมอกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขเป็นกระทรวงที่ใหญ่มีบุคลากรจำนวนมาก ดังนั้นถ้ากระจายอำนาจลงไปตั้งแต่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) สามารถดูแลบริหาร หรือแม้แต่ที่การทำโรงพยาบาลชุมชนหรือโรงพยาบาลทั่วไปโรงพยาบาลศูนย์ ถ้าในอนาคตสามารถกระจายอำนาจไปยังเขตสุขภาพ ก็จะมีการดำเนินงานและทำงานได้อย่างคล่องตัวและรวดเร็วมากขึ้น และที่สำคัญจะทำให้การทำงานตอบสนองกับพี่น้องประชาชนได้ดี
“ทางกระทรวงฯจะเริ่มการกระจายอำนาจเรื่องการบริหารงานบุคคล การโยกย้ายภายในเขตสุขภาพต่างๆ ซึ่งการจะเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ต้องมีธรรมาภิบาลในการทำงานและการมีส่วนร่วมประสานงานร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมด้วย”
โดยคุณหมอสุขุม ระบุว่า กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดนโยบายปี 2563 โดยเน้น 6 เรื่องสำคัญ ได้แก่ 1.การควบคุมป้องกันวัณโรคให้มีอัตราความสำเร็จในการรักษาผู้ป่วยวัณโรคปอดรายใหม่มากกว่า 85% 2.มีการจัดการภัยคุกคามความมั่นคงทางสุขภาพ โดยให้มีการดำเนินการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (RDU) ตลอดจนมีการจัดระบบการใช้ยาอย่างสมเหตุอย่างน้อยจังหวัดละ 1 อำเภอ และให้มีระบบการจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพอย่างบูรณาการ ลดการติดเชื้อดื้อยาในกระแสเลือดลง 7.50%
3.พัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิ โดย 70% ของอำเภอผ่านเกณฑ์การประเมินการพัฒนาคุณภาพชีวิตทีมีคุณภาพ พัฒนา อสม. 80,000 คน เป็น อสม.หมอประจำบ้าน และ 75% ของ รพ.สต.ผ่านเกณฑ์พัฒนาคุณภาพ รพ.สต.ติดดาว 4.ลดแออัด ลดรอคอยในโรงพยาบาล โดย 80% ของโรงพยาบาลจะต้องมีระบบนัดคิวออนไลน์ 80% ของโรงพยาบาลศูนย์ 34 แห่งผ่านเกณฑ์ห้องฉุกเฉิน (ER) คุณภาพ 5.มีคลินิกให้บริการกัญชาทางการแพทย์นำร่องอย่างน้อยเขตสุขภาพละ 1 แห่ง เพื่อการเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ และ 6.ทุกเขตสุขภาพต้องมีการพัฒนาระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ