ไทยเซ็นทรัลเคมี เปิดโรงงานโชว์กระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล คาดเศรษฐกิจภาคการเกษตรของไทยปี2563 อยู่ในระดับต่ำ ผลกระทบจากภาวะภัยแล้ง พร้อมเดินหน้าสายการผลิตปุ๋ยผลไม้
นายโยชิฮิโระ ทามูระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ผู้ผลิตปุ๋ยเคมี ตราหัววัวคันไถ กล่าวว่า ในฐานะนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย และเป็นแหล่งผลิตปุ๋ยเคมีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย บริษัทฯ มีภารกิจหลัก 3 ด้านด้วยกัน คือ 1.การพัฒนาผลิตภัณฑ์และสร้างคุณค่าใหม่ๆ คือการผลิตสินค้าให้ได้ตามมาตรฐานสากล โดยในปุ๋ยแต่ละเม็ดจำเป็นที่จะต้องมีค่าธาตุอาหารตามที่ระบุไว้ในแต่ละสูตร โดยมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดด้วยห้อง Lab ที่ทันสมัยและได้มาตรฐาน เกษตรกรจึงมั่นใจได้ว่าปุ๋ยเคมีจากบริษัทฯ สามารถสร้างผลผลิตทางการเกษตรได้ตามที่ต้องการ 2.การพัฒนาองค์ความรู้ให้กับเกษตรกร ในปัจจุบันการใช้ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอต่อการเพิ่มผลผลิต จำเป็นต้องมีการใช้อย่างถูกสูตร ถูกที่ ถูกวิธี และถูกเวลา
และ 3.การพัฒนาองค์ความรู้และบุคลากรด้านการเกษตร ที่ผ่านมาทางบริษัทฯ ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยหลายแห่งเพื่อทำการวิจัยและพัฒนาหาแนว ทางในการทำการเกษตรที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปถึงต่อยอดแนวความคิดเชิงวิชาการด้านการเกษตรให้สามารถนำมาใช้ได้จริง เป็นการสร้างความเชื่อมโยงกันระหว่างมหาวิทยาลัยและภาคเอกชน และในส่วนของบุคลากรก็ได้มีการพัฒนามาอย่างต่อ เนื่อง ซึ่งในอนาคตคาดว่าจะเป็นกำลังหลักในภาคการเกษตรของไทยต่อไป
"สำหรับยอดขายปีนี้ ลดลงกว่า40% จากรายได้ปี2561 อยู่ที่ 10,000 ล้านบาท ซึ่งคงต้อมยอมรับกับภาวะภัยแล้ง ส่งผลกระทบต่อเกษตรกร ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจในประเทศด้วย โดยปีหน้า คงจะไม่ต่างกัน"
ด้าน นายกองเอก เปล่งศักดิ์ ประกาศเภสัช ที่ปรึกษาอาวุโส บริษัท ไทยเซ็นทรัลเคมี จำกัด (มหาชน) และนายกสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจภาคการเกษตรของไทยในปี2563 ยังคงจะต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายในหลายด้านทั้งราคา ปริมาณการเพาะปลูก รวมไปถึงศักยภาพด้านการเกษตร ในส่วนของปัจจัยด้านราคาในพืชเศรษฐกิจหลัก เช่น ข้าว อ้อย ยางพารา ฯลฯ ยังคงอยู่ในระดับต่ำและคาดว่าจะไม่ฟื้นตัวมากนัก ในขณะเดียวกัน ด้านปริมาณการเพาะปลูกจะได้รับผลกระทบจากภาวะภัยแล้งที่จะยังเป็นปัญหาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงต้นปี 2563 พื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรังคาดว่าจะลดลงเนื่องจากปริมาณน้ำในระบบชลประทานมีไม่เพียงพอ
ปัญหาดังกล่าวเกี่ยวโยงไปถึงปัจจัยของตัวเกษตรกรเองที่มีปัญหาด้านหนี้สินและลดต้นทุนด้านปัจจัยการผลิตทำให้อาจส่งกระทบต่อผลิตภาพโดยรวมของการเกษตรได้ อย่างไรก็ตามคาดว่าภาคการเกษตรไทยจะไม่ได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจในระดับมหภาคและในระดับโลกมากนักในปีหน้า ปี 2563 หากเทียบกับในภาคการผลิตและภาคการบริการ เนื่องจากสินค้าเกษตรเป็นสินค้าที่มีความสำคัญในการรักษาความมั่นคงด้านอาหารของทุกๆประเทศ อีกทั้งคาดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจะออกมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร เช่น การประกันรายได้ การพักหนี้เกษตรกร นำมาใช้อย่างต่อเนื่องในปี 2563
ทั้งนี้ปริมาณความต้องการปุ๋ยเคมีของไทยในปี 2563 จะขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านราคาสินค้าเกษตรและจำนวนพื้นที่เพาะปลูกเป็นหลัก แม้ว่าราคาวัตถุดิบและค่าเงินบาทจะมีแนวโน้มผันผวนส่งผลให้ราคาปุ๋ยเคมีในประเทศมีความผันผวนตามไปด้วย แต่ราคาปุ๋ยเคมีไม่ใช่เป็นปัจจัยที่สำคัญในการตัดสินใจซื้อปุ๋ยเคมีของเกษตรกรจึงทำให้ไม่กระทบต่อปริมาณความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีมากนัก ดังนั้นจากสถานการณ์ด้านเกษตรตามที่กล่าวมาในข้างต้น จึงคาดการณ์ว่าปริมาณการใช้ปุ๋ยในปีหน้าจะยังคงอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับในปี 62
นายสมรักษ์ ลิขิตเจริญพันธ์ เจ้าหน้าที่บริหารและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการผลิต/ผู้จัดการโรงงาน ได้กล่าวถึงการผลิตปุ๋ยเคมี และการควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ปุ๋ยตราหัววัวคันไถว่า ปัจจุบันบริษัทฯ สามารถผลิตปุ๋ยเคมีชนิดเม็ดภายใต้เครื่องหมายการค้า ตราหัววัวคันไถ, ตราทีซีซีซี, ตราสิงห์ และตราเด็กน้อย ที่มีคุณภาพได้มาตรฐานทัดเทียมกับปุ๋ยที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยบรรจุกระสอบละ 50 กก. และปุ๋ยตราหัววัวคันไถ ที่บริษัทฯได้ผลิตขึ้นมานั้นก็มีคุณภาพตามที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และยังเป็นที่แพร่หลายในพื้นที่เกษตรกรรมทั่วประเทศ
“ปัจจุบันบริษัทฯ มีโรงงานขนาดใหญ่ที่ทันสมัยและได้มาตรฐาน 2 แห่ง รวมกำลังการผลิตทั้งสิ้นปีละ 1.2 ล้านเมตริกตัน แบ่งเป็น 1)โรงงานพระประแดง จ.สมุทรปราการ มีกำลังการผลิต 850,000 เมตริกตัน มีคลังเก็บสินค้าได้ 100,000 เมตริกตัน ขนาดท่าเรือยาว 310 เมตร หน้าท่าลึก 8.4 เมตร กำลังการขนถ่ายวัตถุดิบต่อวัน 6,000 เมตริกตัน และ 2)โรงงานนครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา มีกำลังการผลิต 350,000 เมตริกตัน มีคลังเก็บสินค้าได้ 90,000 เมตริกตัน ขนาดท่าเรือยาว 189 เมตร หน้าท่าลึก 5 เมตร กำลังการขนถ่ายวัตถุดิบต่อวัน 4,000 เมตริกตัน”
“สำหรับแผนในปี 63 นั้น บริษัทจะมีการปรับเพิ่มสายการผลิตจากที่เคยผลิตแต่ปุ๋ยสำหรับข้าว จะมีการเพิ่มการผลิตปุ๋ยสำหรับผลไม้เพิ่มขึ้น เนื่องจากเล็งเห็นว่าผลไม้ราคาไม่ตกต่ำลงมากเหมือนข้าว ปัจจุบันได้มีการนำร่องปุ๋ยสำหรับใส่ผลไม้ เช่น ทุเรียน มะม่วง ลำไย ซึ่งผลตอบรับที่ดีกลับมา ในปีหน้าจึงจะมีการเดินสายการผลิตด้านนี้มากขึ้น”นายสมรักษ์กล่าว