นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว. กลาโหม และ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ไปพูดในงานพิธีประกาศและมอบรางวัลพระราชทาน Thailand Corporate Excellence Awards และรางวัล SMEs Excellence Awards 2019 ซึ่งเมื่อฟังแล้วเหมือนพูดจาสับสน คล้ายคนหลงทาง ไม่แน่ใจว่าต้องการจะตอบคนที่วิพากษ์วิจารณ์เศรษฐกิจที่ย่ำแย่จากฝีมือการบริหารของรัฐบาลใช่หรือไม่ ทั้งนี้ สิ่งที่พลเอกประยุทธ์พูดมีความย้อนแย้งในตัวเองสูง จึงขอตั้งข้อสังเกตให้พลเอกประยุทธ์ได้ศึกษาและพิจารณา 5 ข้อดังนี้
1. ตามที่พลเอกประยุทธ์บอกว่า ตลอดเวลา 5 ปี คาดการณ์อยู่แล้วว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงเร็วจากเทคโนโลยี และได้เตรียมการ อยากให้พลเอกประยุทธ์อธิบายว่าได้เตรียมการอะไรบ้าง เพราะเท่าที่ฟังมาตลอด 5 ปี ไม่เคยที่พลเอกประยุทธ์คิดถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกนี้เลย ถ้าคิดถึงคงไม่เอาประเทศไปจมปลักกับการปฏิวัติที่ประเทศไม่ได้พัฒนามา 5 ปี การลงทุนของไทยตามการเปลี่ยนแปลงของโลกหยุดชะงัก วิสัยทัศน์ที่ก้าวทันโลกไม่เคยปรากฏ มีแต่เรื่อง ปลูกหมามุ่ยแทนปลูกข้าว ส่งออก ยาสีฟัน แปลงสีฟัน รองเท้าแตะ เมื่อเกิดน้ำท่วมให้เลี้ยงปลา ให้ท่องจินดามณี ให้อ่านแอนนิมอลฟาร์มที่ด่าเผด็จการ ที่คิดนอกกรอบก็มีแค่ ส่งออกยางพาราไปดาวอังคาร เท่านั้น ไม่ได้มีการเตรียมรับการเปลี่ยนแปลงเลย ขนาดบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในระดับที่เรียกว่ายูนิคอร์นก็ไม่เกิดในไทย ขณะที่ประเทศในอาเซียนมีกันหมด จึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้ศึกษารายละเอียดและเตรียมการจริงๆ อย่าสักแต่ว่าพูด โดยไม่ดูผลงานตัวเอง หรือพูดเพราะเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าไทยกำลังจะตกยุครวดเร็วแล้ว จากโรงงานกว่าพันแห่งที่ปิดตัวลง แม้จะสายไปบ้างแต่ก็ดีกว่าพูดแบบไม่รู้เรื่อง
2. การที่พลเอกประยุทธ์เข้าใจดีว่าปัจจุบันเป็นสงครามทางเศรษฐกิจ ก็น่าจะต้องมุ่งเน้นการใช้งบประมาณในการพัฒนาเศรษฐกิจให้มากๆ งบประมาณทางการทหารก็ควรจะต้องลดลงไม่ใช่เพิ่มขึ้น 4.37% ทุกปีมาตลอด 5 ปี อีกทั้ง ถ้าหากพลเอกประยุทธ์ตามการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีจริงตามที่พูด ก็จะพบว่า เทคโนโลยีทางอาวุธยุทโธปกรณ์ได้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก เช่น มีการใช้ Ai หุ่นยนต์ และโดรนในการทำสงครามโจมตี เป็นต้น อาวุธที่จัดซื้อกันในปัจจุบันจะล้าสมัยอย่างรวดเร็วและจะเสียงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์ อีกทั้งการลดการเกณฑ์ทหารก็จะช่วยลดงบประมาณทางการทหารด้วย และยังจะช่วยเพิ่มแรงงานในภาคการผลิตและภาคบริการให้มากขึ้น การรบสมัยใหม่มีการใช้กำลังพลน้อยลงมาก โดยจะมุ่งเน้นเทคโนโลยีชั้นสูงเป็นหลัก ความจำเป็นที่จะต้องมีกำลังพลจำนวนมากจึงไม่มีแล้ว อีกทั้งยังไม่เห็นว่าไทยจะไปรบกับใคร
3. การที่พลเอกประยุทธ์เข้าใจว่าต่างประเทศให้ความชื่นชมในช่วงเวลาที่พลเอกประยุทธ์เดินทางไปเยือนต่างประเทศ พลเอกประยุทธ์น่าจะเข้าใจผิดในเรื่องมารยาทการต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ซึ่งถ้าหากพลเอกประยุทธ์ได้อ่านบทความในสื่อหลักต่างประเทศแทบทุกสำนักที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลพลเอกประยุทธ์อย่างเสียหายมาโดยตลอด พลเอกประยุทธ์จะไม่กล้าพูดแบบนี้เลย อีกทั้งผลสะท้อนของการวิจารณ์จากสื่อหลักส่งผลมายังการลงทุนจากต่างประเทศของไทยที่ลดลง ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าต่างประเทศคิดอย่างไรกับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์
4. การที่พลเอกประยุทธ์เตือนไม่ให้ภาคธุรกิจอย่าเห็นแก่กำไร แสดงถึงความไม่เข้าใจในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่หน่วยธุรกิจต้องเห็นแก่กำไร สิ่งที่พลเอกประยุทธ์ควรทำคือไม่เอื้อประโยชน์กับนายทุนมากเกินไป และต้องไม่ส่งเสริมการผูกขาดของธุรกิจ ซึ่งตลอด 5 ปี นายทุนที่สนับสนุนรัฐบาลร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาลในขณะที่ประชาชนจนลงกันหมด หน่วยธุรกิจส่วนใหญ่โดยเฉพาะ SMEs อย่าว่าแต่กำไรเลย ตอนนี้ ยังเอาตัวจะไม่รอด ขาดทุนกันถ้วนหน้า จนจะปิดกิจการกันเป็นจำนวนมากแล้ว
5. การที่พลเอกประยุทธ์ให้ประชาชนอย่าพูดการเมือง ให้พูดถึงเศรษฐกิจมากๆ ซึ่งตรงข้ามกับ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ที่ไม่อยากให้ประชาชนพูดเรื่องเศรษฐกิจที่กำลังแย่ แสดงถึงความสับสนในทีมเศรษฐกิจ ความจริงคือตอนนี้ไปที่ไหมก็มีแต่คนบ่นเรื่องเศรษฐกิจย่ำแย่ ไม่มีใครไม่พูดถึงเรื่องนี้ และที่พวกเขาพูดการเมือง เพราะพวกเขาคิดว่าการเมืองทำให้เศรษฐกิจแย่จากฝีมือการบริหารของรัฐบาล จึงไม่ทราบว่าพลเอกประยุทธ์จะให้ประชาชนมีหลักคิดใหม่อย่างไร
ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้ศึกษาแนวคิดเศรษฐกิจให้ครบกรอบก่อนที่จะพูด และน่าจะเป็นพลเอกประยุทธ์ที่จะต้องปรับหลักคิดใหม่เพื่อให้ทันการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลก และอยากให้พิจารณาอย่างจริงจังว่าพลเอกประยุทธ์จะมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะนำพาประเทศไทยฝ่าฟันการเปลี่ยนแปลงของโลกไหวหรือไม่ ไม่ไหวอย่าฝืน เพราะปัจจุบันประชาชนจำนวนมากเริ่มหมดความหวังกับรัฐบาลแล้ว