แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยถึงสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีแนวโน้มลดลงเกือบทุกพื้นที่ แต่ยังพบค่าฝุ่นละออง PM2.5 เกินมาตรฐานบางแห่ง ส่วนในพื้นที่ภาคเหนือ 9 จังหวัด มีค่าเกินมาตรฐานในหลายจังหวัด เนื่องจากการเผา บางพื้นที่มีค่าฝุ่นละออง PM2.5 สูงเกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีแดงคือมีผลกระทบต่อสุขภาพ ประกอบกับกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าในช่วงสัปดาห์นี้ สถานการณ์ฝุ่นจะอยู่ในระดับปานกลางหรือสีเหลือง เนื่องจากยังพอมีลมตะวันออกกำลังปานกลางพัดอยู่ แต่จะมีบางวันที่อาจจะสูงขึ้น โดยขึ้นอยู่กับกิจกรรมในพื้นที่นั้น สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่เป็นเด็กเล็ก และผู้สูงอายุ จะเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพจาก PM2.5 คือตั้งแต่ระดับสีเขียว เป็นต้นไป เนื่องจากเด็กมีความอ่อนแอและภูมิต้านทานต่ำ ปอดยังพัฒนาไม่เต็มที่ อัตราการหายใจถี่ และมีผิวหนังบอบบางกว่าผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์ และเด็กยังมีพฤติกรรมเคลื่อนไหวมากกว่าผู้ใหญ่ เช่น การวิ่งเล่น การกระโดด การปีนป่าย ในสนามหรือนอกอาคาร ทำให้เด็กมีการหายใจรับมลพิษมากขึ้นซึ่งส่งผลกระทบต่อสมรรถนะของปอดทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งยังส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางระบบประสาทและความสามารถทางปัญญาของเด็ก ส่วนผู้สูงอายุ กลไกการป้องกันระบบทางเดินหายใจจะลดลงตามอายุและอาจมีโรคประจำตัว ทำให้ไวต่อการเป็นโรคหรือติดเชื้อระบบทางเดินหายใจมากขึ้น
“ทั้งนี้ พ่อแม่ ผู้ปกครอง จึงต้องติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศด้วยการดูค่า PM2.5 หรือค่า AQI ได้ที่เว็บไซต์ air4thai.pcd.go.th หรือแอพพลิเคชั่น “Air4thai” ของกรมควบคุมมลพิษ หรือเฟซบุ๊กเพจ “คนรักอนามัย ใส่ใจอากาศ PM2.5” ของกระทรวงสาธารณสุข โดยให้สังเกตที่สีเป็นหลัก หากพบค่าตั้งแต่ระดับสีเขียวขึ้นไป ต้องเลี่ยงให้เด็กทำกิจกรรมนอกอาคาร ถ้าค่าฝุ่นสูงมาก ต้องป้องกันด้วยการสวมหน้ากากอนามัย และคอยสังเกตอาการของเด็ก หากพบว่าผิดปกติ เช่น ไอบ่อย หายใจลำบาก หายใจถี่ หายใจมีเสียงวี้ดให้รีบพาไปพบแพทย์ ส่วนเด็กที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ หอบหืด ปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด ควรเตรียมยาและอุปกรณ์ที่จำเป็นให้พร้อม และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ สำหรับการดูแลผู้สูงอายุ ควรให้ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในช่วงเช้าหรือออกนอกบ้าน หากจำเป็นให้สวมหน้ากากป้องกันฝุ่น และคอย สังเกตอาการผู้สูงอายุ หากมีอาการผิดปกติให้รีบพาไปพบแพทย์”