ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ทีมผู้บริหารระดับสูงและคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ รับฟังข้อเสนอเชิงนโยบายการควบคุมแอลกอฮอล์ของประเทศไทยจากทีมประเมินระดับโลก ที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจาก 6 ประเทศและประเทศไทย ผู้แทนองค์การอนามัยโลก ผู้แทนสหประชาชาติ และนักวิชาการผู้เกี่ยวข้อง
ดร.สาธิตกล่าวว่า จากการที่ทีมประเมินระดับโลก นำโดยศาสตราจารย์ ดร.แซลลี่ แคสเวลล์ หัวหน้าทีมประเมิน ได้กล่าวชื่นชมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเทศไทยว่า มีผลงานโดดเด่นหลายด้านในรอบทศวรรษที่ผ่านมา สามารถเป็นตัวอย่างที่ดีของประเทศในแถบเอเชีย สำหรับคำแนะนำจากทีมประเมินนั้น บางส่วนได้ดำเนินการแล้วแต่จะเพิ่มความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ซึ่งรัฐบาลไทยให้ความสำคัญ เช่น การห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่บุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปี การลดจำนวนและความหนาแน่นของจุดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์การห้ามโฆษณาโดยวิธีการต่าง ๆ ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะทางสื่อดิจิทัล และให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นในการส่งเสริมการปฏิบัติตามกฎหมายและสร้างตัวอย่างการมีงานประเพณีที่ดีงามปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในส่วนกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดระบบการจัดบริการให้กับผู้ที่มีปัญหาการดื่มสุราเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้มากขึ้น และทีมประเมินยังได้พูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสรรพสามิต ซึ่งข้อเสนอแนะจากทีมประเมินจะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เพื่อประยุกต์ใช้ให้การควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประเทศไทยมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
นายแดเนียล เคอร์เทสซ์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า การลดปัญหาจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้เร็วขึ้น ความมุ่งมั่นและการเป็นผู้นำในการทำงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของรัฐบาลไทยนั้นควรเป็นไปอย่างต่อเนื่องและเข้มแข็ง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประเทศไทยจะคงบทบาทนำในการขับเคลื่อนมาตรการในการจัดการกับปัญหาจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งในระดับภูมิภาค และระดับโลกต่อไป
ศาสตราจารย์ ดร.แซลลี่ แคสเวลล์ หัวหน้าทีมประเมินกล่าวชื่นชมประเทศไทยว่า ประเทศไทยมีผลงานที่โดดเด่นหลายด้านในรอบทศวรรษที่ผ่านมา เป็นตัวอย่างที่ดีของประเทศในแถบเอเชีย มีโครงสร้างกฎหมายที่ดี เครือข่ายทำงานที่เข้มแข็ง และสามารถควบคุมอัตราการเพิ่มขึ้นของปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประชากรท่ามกลางปัจจัยกระตุ้นที่รุนแรง อย่างไรก็ตาม ยังต้องการการมีส่วนร่วมและการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็งเช่น กฎหมายการห้ามจำหน่ายแก่บุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปี รวมทั้งการปรับปรุงข้อกฎหมายให้ทันกับสถานการณ์ โดยเฉพาะการควบคุมการโฆษณา สปอนเซอร์ และการส่งเสริมการขายของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะสื่อดิจิทัล การปรับปรุงระบบการให้ใบอนุญาตขายปลีกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเพิ่มการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อลดการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเยาวชน อีกทั้งการเพิ่มภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำโดยให้สอดคล้องกับภาระเงินเฟ้อ