คอลัมน์ : โลกของจีน : โดย ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ
วิกฤติหมูจีน …. โอกาสหมูไทย
ด้วยความที่มีประชากรมากถึง 1,400 ล้านคน จีนจึงเป็นประเทศที่บริโภคเนื้อสัตว์มากที่สุดในโลก ขณะที่สถิติการบริโภคเนื้อสัตว์ ชาวอเมริกัน 115 กิโลกรัม/คน/ปี ชาวจีน 61.8 กิโลกรัม/คน/ปี โดยชาวจีนนิยมบริโภคเนื้อหมู 62% เนื้อไก่ 22% เนื้อวัวเนื้อแพะ 8%
กล่าวเฉพาะเนื้อหมู ชาวจีนบริโภค 55 ล้านตัน/ปี ผลิตได้ 54 ล้านตัน/ปี จึงมีการนำเข้าจากต่างประเทศเพื่อชดเชยส่วนที่ขาด แต่ในเดือนช่วงสิงหาคมปี 2018 เกิดการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกันในสุกร ( ASF) ระยะเวลาแค่ 3 เดือน สุกรจีนตายไปมากกว่า 300 ล้านตัว จากปริมาณการเลี้ยงทั้งประเทศปีละ 580 ล้านตัว ทำให้เกิดวิกฤติเนื้อหมู ราคาเนื้อหมูสดจากปกติกิโลกรัมละ 25 หยวน (125บาท) พุ่งทะยานขึ้นเป็น 50 หยวน (250บาท) และยิ่งแพงในช่วงตรุษจีนปี 2020 ที่ผ่านมา ขณะที่ราคาเนื้อหมูแช่แข็งของรัฐบาลอยู่ที่ 30-40 หยวน/กิโลกรัม
ช่วงมกราคม-พฤศจิกายน 2019 จีนนำเข้าเนื้อหมูประมาณ 1 ล้านตันจาก สเปน เยอรมนี บราซิล สหรัฐอเมริกา และแคนาดา
จีนเป็นประเทศเดียวที่มีการสำรองเนื้อสุกรตั้งแต่ปี 2007 เมื่อเกิดวิกฤติดังกล่าว รัฐบาลจึงต้องนำเนื้อหมูแช่แข็งสำรองออกสู่ตลาดเพื่ออบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน แต่ยังไงก็ไม่เพียงพอ ถึงขนาดต้องรณรงค์ให้ประชาชนบริโภคเนื้อหมูน้อยลง ให้ตัดเนื้อหมูออกจากรายการอาหารที่คุ้นเคย และถึงขั้นต้องกำหนดให้ประชาชนซื้อเนื้อหมูสดได้คนละไม่เกิน 2 กิโลกรัม ตอนนี้เหลือแค่ 1 กิโลกรัม (แต่เนื้อหมูแช่แข็งของรัฐบาลให้ 2.5-5 กิโลกรัม)
ทางการจีนยอมรับว่า อัตราการผลิตเนื้อหมูในจีนยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องในปี 2020 แม้จะมีการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมสุกรแล้ว ปี 2019 จีนประกาศนโยบายฟื้นฟูอุตสาหกรรมสุกรเป็นภารกิจเร่งด่วน มี 18 มาตรการ มีแผน 3 ปีที่จะนำอุตสาหกรรมสุกรของจีนกลับสู่ภาวะปกติ
วิกฤติหมูจีนเป็นโอกาสของหลายประเทศที่ผลิตเนื้อปศุสัตว์ เนื้อไก่จาก 27 โรงงานของไทยที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน ประสบความสำเร็จมากในการส่งไปขายจีน ปี 2019 ที่ผ่านมา คาดว่าไทยส่งไก่ไปขายจีนได้ 5 หมื่นตัน ปี 2020 คาดว่าจะเพิ่มถึง 8 หมื่นตัน
“ฮ่องกง” เขตปกครองของจีนเดิม สั่งซื้อเนื้อหมูจากจีนแผ่นดินใหญ่ 90% เมื่อเจอวิกฤติต้องหันมานำเข้าจากต่างประเทศ จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่ได้รับมาตรฐานส่งออก ส่ง “สุกรซีกแช่เย็น” เข้าไปขายได้ราคาดีมาก ตลอดปี 2019 คาดว่าส่งได้สูงถึง 2,500 ตัน และยังคงจะไปได้ดีอีก 2 ปี จนกว่าจีนจะสามารถแก้ไขโรค ASF ได้สำเร็จ
นอกจากนี้ ประเทศไทยซึ่งอยู่ใกล้จีนตอนใต้ มีโอกาสที่จะส่งเนื้อปศุสัตว์แก่ผู้บริโภคชาวจีน เนื้อไก่เจาะตลาดได้แล้ว ทำอย่างไรจะส่งได้มากยิ่งขึ้น เนื้อวัวต้องส่งผ่านลาว ผ่านกระบวนการด่านกักโรค แล้วค่อยเชือดชำแหละสู่ตลาดจีน แต่ก็ยังเป็นการค้าแบบ “เทาๆ” ที่ต้องอาศัยจมูกคนอื่น ครั้นจะส่งหมูผ่านลาวไปจีน ก็อาจจะได้แต่หมู คงไม่อึดแบบวัวในการขนส่งระยะไกล และการค้าระหว่างประเทศแบบโปร่งใสถูกต้องตามระเบียบกฎหมายย่อมยั่งยืนในระยะยาว
ก่อนหน้านี้เห็นข่าวนายประภัทร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตีฆ้องร้องป่าวจะส่งหมูไทยไปขายจีน 1ล้านตัว การจะทำได้เช่นนั้น จำเป็นต้องยกระดับฟาร์มหมูไทยสู่มาตรฐาน GAP ปลอดโรค ปลอดภัย สร้างความมั่นใจต่อผู้บริโภค
ไม่เพียงเท่านั้น ภารกิจนี้รัฐบาลต้องเล่นเป็นทีมทั้งกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ ในการเจรจาหน่วยงานต่างๆ ของจีน จนถึงระดับรัฐบาลจีที่จะเปิดตลาดให้หมูไทย
อยู่ใกล้จีนเห็นตลาด เห็นความต้องการ เห็นเม็ดเงินลอยอยู่ตรงหน้า รัฐบาลไทย พ่อค้า และเกษตรกร ต้องจับมือกันทำงานอย่างจริงจังจึงประสบความสำเร็จ