นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า กระทรวงฯ มีแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่หรือเมกะโปรเจกต์ โดยในปีงบประมาณ 2563 มีงบประมาณที่จะใช้ลงทุนทั้งส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ รวมประมาณ 3 แสนล้านบาท เมื่อ พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ประกาศใช้ กระทรวงฯ จะเร่งรัดดำเนินโครงการทันที ซึ่งได้มอบนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดบริหารสัญญาโครงการขนาดใหญ่ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี เช่นเดียวกับโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา ที่แยกสัญญาโครงการเป็น 40 สัญญา ส่งผลให้สามารถบริหารโครงการได้รวดเร็วขึ้น ให้ตรวจสอบรายละเอียดเงื่อนไขสัญญาและข้อกำหนดการจ้างสัญญาหรือทีโออาร์ให้รอบคอบ พร้อมทั้งระบุการใช้วัสดุและแรงงานในท้องถิ่น (Local content) 50% สำหรับระยะเวลาที่เหลือประมาณ 7 เดือน ได้มอบนโยบายให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 30 กันยายน 2563 ซึ่งการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของกระทรวงฯ จะทยอยดำเนินการเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และดำเนินตามนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้กระทรวงฯ วางแผนการก่อสร้างให้กระจายความเจริญไปทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ส่วนการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วนที่ได้มอบไว้ในระยะแรกของการเข้ามาบริหารงานกระทรวงฯ ขณะนี้มีความคืบหน้าในหลายนโยบาย เช่น การใช้แผ่นยางพาราครอบแบริเออร์ (Rubber Fender Barrier) ซึ่งอยู่ระหว่างการทดสอบที่ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อทราบผลการทดสอบจะนำมาใช้ในเส้นทางที่มีสถิติอุบัติเหตุสูง จากนั้นจะเก็บสถิติการเกิดอุบัติเหตุว่าลดลงหรือไม่ เพื่อจะได้ทราบประสิทธิภาพของ Rubber Fender Barrier ส่วนนโยบายการกำหนดรถส่วนบุคคลที่ให้บริการผ่านแอปพลิเคชั่นให้เป็นรถสาธารณะที่ถูกต้องตามกฎหมาย ขณะนี้สำนักงานกฤษฎีกาอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว จำนวน 2 ฉบับ คาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาได้ภายในเดือนมีนาคม 2563 เป็นต้น
ทั้งนี้ กระทรวงฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านคมนาคมทุกระบบ ทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ ทางอากาศ ซึ่งต้องบูรณาการให้สามารถใช้งานร่วมกันได้ และขอให้มั่นใจว่ากระทรวงฯ จะดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เร่งรัด โปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีส่วนร่วม
สำหรับโครงการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งที่จำเป็นต้องเร่งผลักดันในปีงบประมาณ 2563 มีทั้งสิ้น 86 โครงการ โดยมีโครงการสำคัญที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้วและอยู่ระหว่างเตรียมดำเนินการ อาทิ โครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ด้านตะวันตก ใช้เงินกองทุน Thailand Future Fund (TFF) ขณะนี้ได้ผู้ชนะการประมูลแล้ว 4 สัญญา เตรียมลงนาม 1 สัญญา โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอประกาศพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินและเตรียมการประกวดราคา โครงการที่อยู่ระหว่างรอรับการจัดสรรงบประมาณปี 2563 ได้แก่ โครงการก่อสร้างทางรถไฟเส้นทางสายใหม่ ช่วงเด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ เพื่อจ้างที่ปรึกษาจัดการประกวดราคาและเวนคืนที่ดิน โครงการก่อสร้างทางรถไฟเส้นทางสายใหม่ ช่วงบ้านไผ่ - มุกดาหาร - นครพนม เพื่อจ้างที่ปรึกษาจัดการประกวดราคาและเวนคืนที่ดิน สำหรับโครงการศูนย์การขนส่งชายแดน จังหวัดนครพนม อยู่ในกระบวนการจัดหาที่ดิน และต้นปี 2563 จะประกาศหาเอกชนร่วมทุน โครงการก่อสร้างรถไฟชานเมืองสายสีแดง 3 สายทาง ได้แก่ ช่วงรังสิต - ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ช่วงตลิ่งชัน - ศาลายา และช่วงตลิ่งชัน - ศิริราช จะเปิดให้บริการปี 2566 โครงการในพื้นที่ EEC เช่น โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ขั้นที่ 3 อยู่ระหว่างการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุน โครงการศูนย์ซ่อมบํารุงอากาศยาน MRO คาดว่าจะลงนามสัญญาร่วมลงทุนระหว่างบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กับ Airbus ภายในเดือนกรกฎาคม 2563 เป็นต้น โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและโครงการลงทุนสําคัญด้านคมนาคมขนส่ง มีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจมากกว่า 12% สะท้อนให้เห็นว่าแต่ละโครงการมีความคุ้มค่าการลงทุน เนื่องจากมีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง