พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพลังงาน จากนักเศรษฐศาสตร์สู่เส้นทางนักการเมือง
"หากจะว่าถึงสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน ก็อาจกล่าวได้ว่ารัฐบาลแม้จะมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร แต่ก็ใช่ว่าจะมากจนทำให้สถาการณ์นิ่ง ประเด็นร้อนแรงกระแทกการทำงานของรัฐบาลก็ยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะต่อปัญหาด้านเศรษฐกิจ"
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ติดตามการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง คงจะทราบและพบเห็นกันมาอย่างดีว่า จะมีบุคคลผู้หนึ่งที่มักจะออกมาสะท้อนและชี้ผลของการดำเนินนโยบายของรัฐบาลด้านเศรษฐกิจให้สังคมแลเห็นในทุกระยะเช่นกัน ซึ่งบุคคลผู้นั้นก็คือ พิชัย นริพทะพันธ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในสมัยรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และยังเป็นอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลสมัคร สุนทรเวชและคณะทำงานทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทวยตำแหน่ง
พิชัย นริพทะพันธ์ เคยเป็นหนึ่งในคณะทำงานทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ก่อนย้ายมาสังกัดพรรคไทยรักษาชาติ เมื่อครั้งการเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ชื่อของ พิชัย นริพทะพันธ์ ไม่เพียงเพราะจะมีตำแหน่งที่สำคัญในด้านเศรษฐกิจที่ผ่านมาเท่านั้น แต่ชื่อของเขายังเป็นหนึ่งในผู้ที่ออกมาวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลในยุค คสช. หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนากยรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. อยู่บ่อยครั้งด้วย จนเป็นผู้หนึ่งที่ถูกเรียกปรับทัศนะคติมากในอันดับต้นๆ ด้วย ฉบับนี้ อปท.นิวส์ เชิญเป็นแขก จึงจะขอนำท่านผู้อ่านมารู้จักกับบุคคลผู้นี้เป็นใครมาจากไหน
พิชัย นริพทะพันธุ์ หรือ“พี่แดง”เป็นบุตรคนที่ 3 ในจำนวนพี่น้อง 4 คน ซึ่ง “พี่แดง” ย้อนอดีตให้ฟังว่า ตอนเด็กๆ เป็นเด็กเรียบร้อยเชื่อฟังพ่อแม่ ไม่ดื้อ ซนบ้างนิดหน่อย พ่อแม่บอกอะไรก็จะทำหมด จบมัธยมที่โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก เป็นคนเรียนหนังสือดี ได้รางวัลทุกปี เช่น ตอนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 2 ก็สอบเทียบมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้ และตอนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 4 ก็สอบเทียบมัธยมศึกษาปีทื่ 5 ได้ เป็นประธานชมรมภาษาอังกฤษของโรงเรียน เพราะสอบได้ที่ 1 ในวิชาภาษาอังกฤษจนได้รางวัล และจัดแข่งขันการตอบปัญหาภาษาอังกฤษให้นักเรียนชั้นต่างๆ
“พี่แดง” เล่าต่อว่า เป็นคนมีเพื่อนฝูงมาก เพื่อนฝูงมักจะมาที่บ้านเสมอ เพราะมีสระว่ายน้ำ สนามฟุตบอล และโต๊ะสนุ๊กในบ้าน เพื่อนๆก็จะมาเล่นกันที่บ้านสนุกสนาน โดยในช่วงมัธยมปลายตั้งใจจะเรียนเป็นคุณหมอ เพราะพี่ชายและน้าชายสอบเข้าหมอได้ เลยตั้งใจเรียน เพราะที่เรียนส่วนใหญ่ก็จะได้เกรดเอ ทั้ง ชีวะ เคมี ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ แต่คุณพ่ออยากให้มีคนทำธุรกิจที่บ้านจึงต้องเปลี่ยนแนวมาเรียนเศรษฐศาสตร์ โดยเลือกเศรษฐศาสตร์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นอันดับแรก โดยเข้าเรียนในช่วงที่อาจารย์โกร่ง ดร.วีรพงษ์ รามางกูร เป็นคณบดี จึงได้รับความรู้และอิทธิพลทางความคิดจาก ดร.โกร่ง นับตั้งแต่นั้นมา
“ช่วงที่เรียนเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ต้องช่วยงานทำธุรกิจที่บ้านด้วย คุณพ่อคุณแม่จึงซื้อรถเบนซ์สปอร์ตให้ขับไปเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งสมัยนั้นเศรษฐกิจไทยยังไม่ดีนัก จึงทำให้เป็นที่รู้จักของนิสิตในช่วงนั้น แต่พอเรียนมหาวิทยาลัยขึ้นปีที่ 3 คุณพ่อเสียชีวิตจากโรคเส้นโลหิตในสมองที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงต้องเข้ามาช่วยทำงานที่บ้านเต็มตัว โดยต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย แต่ก็สามารถจบเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯได้ในเวลา 3 ปีครึ่ง เพราะลงวิชาเรียนมากมาตลอดตั้งแต่ปี 1 เหมือนกับจะรู้ว่าจะต้องรีบมาทำงาน” พี่แดง กล่าวกับ อปท.นิวส์ พร้อมเล่าต่อไปว่า
หลังจากจบเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ก็ได้ไปศึกษาต่อวิชาอัญมณีศาสตร์ที่ประเทศสหรัฐ โดยสอบวิชาเรื่องเพชรได้ 99% และทำธุรกิจของครอบครัวโดยต้องบินไปมาระหว่างไทย สหรัฐและยุโรป โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐฯ ใช้เวลาอยู่ในสหรัฐฯ ปีละ 3-5 เดือน นานถึง 28 ปี ติดต่อกัน เนื่องจากในอดีตปีหนึ่งอยู่ต่างประเทศพอๆกับอยู่ประเทศไทย จึงได้รับความรู้ อิทธิพล ทางความคิด ทางด้าน สิทธิและเสรีภาพของประเทศสหรัฐฯ
ช่วงที่ทำงานได้หาเวลาไปสอบเข้าและเรียนปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ ในโครงการ Executive MBA ของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ โดยเมื่อจบสามารถสอบได้ที่ 1 ในการสอบ Comprehensiveที่ต้องเอาความรู้ของที่วิชาที่เรียนทั้งหมดมาอธิบายรวมกันเพื่อแสดงความรู้ความเข้าใจ
นอกจากทำธุรกิจอัญมณีของครอบครัวแล้ว ยังได้ทำธุรกิจพัฒนาที่ดิน ธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยว ธุรกิจเทรดดิ้ง ธุรกิจโทรคม และธุรกิจเทคโนโลยี การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ก่อนที่จะเข้ามาสู่การเมือง
“พี่แดง” เล่าให้ฟังด้วยว่าการเข้าสู่การเมืองเป็นความบังเอิญ เป็นจังหวะชีวิตมากกว่า แต่ก็เป็นคนชอบการเมืองและติดตามข่าวสารทางการเมืองมาโดยตลอด โดยเฉพาะเมื่อสมัยเด็ก อดีตนายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัย สนิทกับคุณพ่อ เลยมีโอกาสพบนายกฯ ชวนอยุ่เสมอ และเป็นแรงจูงใจให้เข้าสู่การเมือง แต่พอคุณพ่อเสียชีวิต จึงต้องมารับผิดชอบกับธุรกิจครอบครัว ความใฝ่ฝันทางการเมืองจึงต้องถูกแขวนไว้ จนกระทั่งมีลูกชายคือ พชร นริพทะพันธุ์ ซึ่งก็ชอบการเมืองจึงส่งให้ไปติดตาม สุวิทย์ คุณกิตติ อดีตรองนายกฯ และ รมต.หลายสมัย โดยมีตัวเขาสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
อย่างไรก็ตาม จับพลัดจับผลูเลยได้เข้ามาสู่การเมืองโดยได้รับเชิญให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงการคลังครั้งแรกในปี 2551 สมัยรัฐบาลพลังประชาชน ที่มีสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็รู้สึกสนุกดี เพราะเหมือนตัวเราสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ได้ เลยตัดสินใจอยู่การเมืองต่อมา จนได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน สมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่มียิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี จนเกิดการปฏิวัติรัฐประการ
“ก็ยังมีแนวคิดอยากเห็นประเทศพัฒนา และเสนอความเห็นตลอด จนถูกเรียกตัว 12 ครั้ง เป็นการเรียกปรับทัศนคติ 8 หน และเรียกดำเนินคดี 4 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้ท้อ เพราะเชื่อว่าสิ่งที่ได้เสนอความเห็นเป็นประโยชน์กับประเทศอย่างแท้จริง และสิ่งที่ได้เตือนเรื่องเศรษฐกิจไทยจะย่ำแย่ จนเกิดภาวะตามทฤษฎีกบต้ม ก็เป็นจริงอย่างที่ได้เตือนไว้”
สำหรับชีวิตครอบครัว “พี่แดง” เล่าให้ฟังว่ามีความสะดวกสบายพอสมควร อาศัยอยู่ที่บ้านซึ่งอยู่ด้านหลังของศูนย์การค้าสยามพารากอน สามารถเดินไปสยามพารากอนได้ มีลูกชาย 3 คน ลูกชายคนโตแต่งงานแล้วมีลูก 4 คน ผมเลยเป็นคุณปู่ของหลานชาย 2 คน และหลานสาว 2 คน ทุกวันถ้าไม่มีนัดทานข้าวข้างนอก ก็จะทานข้าวเย็นกับคุณแม่ทุกวัน โดยดูแลคุณแม่มาตลอดหลังจากที่คุณพ่อได้เสียชีวิตมากว่า 30 ปีแล้ว
ส่วนเวลาว่างๆ ไลฟ์สไตล์ก็จะเป็นชิวิตง่ายๆ มีโอกาสก็ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงบ้าง อ่านหนังสือและท่องเว็บเพื่อหาความรู้เพื่อให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลกทางเทคโนโลยีและหาข้อมูลทางเศรษฐกิจ เวลาว่างจะออกกำลังกายขึ้นเครื่องออกกำลังกายทุกวัน วันละประมาณ 45 นาที บางวันก็ว่ายน้ำและเอ็กเซอไซร์ในน้ำที่สระว่ายน้ำที่บ้าน เล่นกีฬากับลูก และเล่นกับหลานๆ ด้วย ซึ่งหากมีสถานศึกษาใดเชิญไปสอนหนังสือก็จะพยายามไป เพราะเชื่อว่าการให้ความรู้ และ แลกเปลี่ยนความเห็นกับคนรุ่นใหม่เป็นสิ่งที่จำเป็น และอยากให้คนรุ่นใหม่มีหลักคิดที่ดีและเปิดกว้างเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้จะสวดมนต์เช้าเย็น นั่งวิปัสสนาตอนเช้าทุกวัน เพื่อทำจิตให้สงบ มีสติเกิดปัญญาตามหลักพุทธศาสนาเนื่องจากมีข้อคิดในการดำเนินชีวิตด้วยการทำทุกวันให้ดีที่สุด รักในสิ่งที่ทำ และอย่าไปเสียใจกับสิ่งที่แก้ไขอะไรไม่ได้ จะสอนลูกเสมอว่าพ่อขอ 3 อย่าง
1. เป็นคนดี (หมายถึงเป็นคนดีจริงๆ ไม่ใช่ ที่อ้างกันว่าเป็นคนดี) ช่วยใครได้ก็ควรช่วย อย่าไปทำให้ใครเดือดร้อน ทำจิตใจให้ดี มี เมตตากรุณา มุทิตา และอุเบกขา โดยดูจากเพื่อนรอบตัวเองเป็นตัวอย่าง เพื่อนคนไหนเป็นคนดี มีศีลธรรม มีจิตใจดี ช่วยเหลือคนที่ลำบาก ชีวิตเขาจะมีความสุข มีเรื่องร้ายก็จะมีคนหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ามาช่วยเหลือเสมอ 2. ทำตัวเองให้มีความสุข อะไรทุกข์ก็อย่าไปเครียด เดี๋ยวมันก็ผ่านไป พยายามหาความสุขใส่ตัวเองมากๆ แต่ต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น และ 3. มีเป้าหมายในชีวิต ต้องวางแผนในชีวิตว่าอยากเป็นอะไร และต้องพยายามฝันให้ไกลและไปให้ถึง ถึงในที่สุดแล้วไปไม่ถึง แต่อย่างน้อยก็ต้องได้สิ่งดีๆกลับมา
“ก็ยังมีแนวคิดอยากเห็นประเทศพัฒนา และเสนอความเห็นตลอด จนถูกเรียกตัว 12 ครั้ง เป็นการเรียกปรับทัศนคติ 8 หน และเรียกดำเนินคดี 4 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้ท้อ เพราะเชื่อว่า สิ่งที่ได้เสนอความเห็นเป็นประโยชน์กับประเทศอย่างแท้จริง และสิ่งที่ได้เตือนเรื่องเศรษฐกิจไทยจะย่ำแย่ จนเกิดภาวะตามทฤษฎีกบต้ม ก็เป็นจริงอย่างที่ได้เตือนไว้”