ศาลอ่านคดีโรงงานลำไยระเบิด ที่สันป่าตองเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 36 ราย บาดเจ็บกว่าร้อย และบ้านเรือนเสียหาย 571 หลัง เมื่อปี 2542 โดยมีครอบครัวผู้เสียชีวิตมาพร้อมตามนัด ด้วยความหวังได้รับความเป็นธรรมหลังต่อสู้ยาวนาน 17 ปี ขณะที่จำเลยที่ 3 เบี้ยว ส่งทนายยื่นใบรับรองแพทย์ อ้างมีนัดผ่าตัดริดสีดวงทวาร ทำให้ศาลเลื่อนนัดใหม่เป็น 27 พ.ค. 59 พร้อมออกหมายจับ ส่วนจำเลยที่ 2 มาตามนัดและได้รับประกันตัว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลจังหวัดเชียงใหม่ มีการนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีโรงงานลำไยระเบิด ที่อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี 2542 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 36 ราย บาดเจ็บ 102 ราย บ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างได้รับความเสียหาย 571 หลัง ซึ่งพนักงานอัยการพร้อมครอบครัวผู้เสียชีวิต 25 ราย เป็นโจทก์ร่วมฟ้องบริษัทหงไทยเกษตรพัฒนา จำกัด เจ้าของโรงงานที่เกิดเหตุ เป็นจำเลยที่ 1 พร้อมจำเลยที่ 2 นายประธาน ตรีฉัตร ผู้จัดการ, จำเลยที่ 3 นายเชิดพันธ์ ฉันทะโรจน์ศิริ ประธานกรรมการบริหารบริษัท และจำเลยที่ 4 ใน ลีหงเหิน หุ้นส่วนชาวไต้หวัน ซึ่งหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้วหลังเกิดเหตุ
โดยรายงานข่าวแจ้งว่าครอบครัวและญาติของผู้เสียชีวิตจากเหตุดังกล่าวได้พร้อมใจกันมาฟังการอ่านคำพิพากษาในคดีนี้ตามนัด อย่างไรก็ตามฝ่ายจำเลยมีเพียงนายประธาน ตรีฉัตร ผู้จัดการโรงงาน ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 มาตามนัดเพียงคนเดียว ขณะที่นายเชิดพันธ์ ฉันทะโรจน์ศิริ จำเลยที่ 3 ไม่ได้เดินทางมาตามนัด แต่มอบหมายให้ทนายความนำใบรับรองแพทย์มายื่นต่อศาลระบุว่ามีนัดต้องผ่าตัดริดสีดวงทวารในวันพรุ่งนี้ (21 เม.ย. 59) เป็นเหตุผลกล่าวอ้างในการไม่เดินทางมาตามนัด
ศาลเชียงใหม่เลื่อนอ่านคำพิพากษาฎีกาคดี รง.ลำไยระเบิดเหตุจำเลยเบี้ยว-ญาติผู้ตายหวังได้รับความเป็นธรรมหลังสู้ 17 ปี ทั้งนี้ ศาลพิจารณาแล้วสั่งให้เลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาเป็นวันที่ 27 พ.ค. 59 พร้อมให้มีการออกหมายจับนายเชิดพันธ์ เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่าเหตุผลไม่สมควรในการไม่เดินทางมาตามนัด ส่วนนายประธานได้รับการประกันตัวออกไป
นางฐิตารีย์ ไววาง หนึ่งในครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากเหตุโรงงานลำไยระเบิด เปิดเผยว่า ทางครอบครัวต่อสู้ผ่านกระบวนการยุติธรรมด้วยความหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากความสูญเสียที่เกิดขึ้น และหวังให้คดีนี้เป็นกรณีตัวอย่างที่เป็นบรรทัดฐานต่อไปในอนาคตเกี่ยวกับชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนทำธุรกิจและได้รับผลประโยชน์ในประเทศไทยที่จะต้องมีความรับผิดชอบเป็นอย่างมากด้วย โดยตัวเองที่สูญเสียน้องชายไปมีความหวังว่าคำพิพากษาศาลฎีกาที่มีการนัดอ่านในวันที่ 27 พ.ค. 59 จะทำให้ครอบครัวผู้สูญเสียทุกรายรู้สึกได้รับความเป็นธรรมและคุ้มค่ากับการรอคอยมานานกว่า 17 ปี
ขณะที่นางสาวรัชนี นิลจันทร์ ผู้ประสานงานกรณีโรงงานลำไยระเบิด เปิดเผยว่า คดีนี้ครอบครัวผู้เสียชีวิตและที่ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าวได้ต่อสู้เรียกร้องในกระบวนการยุติธรรมมายาวนานร่วม 17 ปีแล้ว โดยในส่วนของครอบครัวผู้เสียชีวิต 25 ราย ได้เป็นโจทก์ร่วมฟ้องในคดีนี้ด้วย และยืนยันเรียกร้องเงินชดเชยความสูญเสียรายละ 500,000 บาทที่กำลังฟ้องทางแพ่งอยู่
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาระหว่างต่อสู้คดีได้มีผู้ตกลงยินยอมกับฝ่ายโจทก์ และรับเงินชดเชยไปแล้ว 21 ราย รายละ 50,000 บาท ทั้งนี้ คาดหวังว่าคำพิพากษาศาลฎีกาจะยืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ตัดสินว่าจำเลยมีความผิดฐานประมาททำให้ผู้อื่นเสียชีวิตและมีโทษจำคุก 10 ปี 6 เดือน เพื่อที่จะได้ไปเรียกร้องทางแพ่งในลำดับต่อไป