นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (ผอ. สกนช.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ที่มีนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานว่า ที่ประชุม กบน. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2563 ให้ปรับอัตราส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เฉพาะกลุ่มดีเซลใหม่
โดยเรียกเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันดีเซล B7 (น้ำมันดีเซลที่ผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 7% ในทุกลิตร) เข้ากองทุนน้ำมันเพิ่มจาก 0.25 บาทต่อลิตร เป็น 1 บาทต่อลิตร หรือเพิ่มขึ้น 75 สตางค์ต่อลิตร
ในขณะที่ น้ำมันดีเซล B10 (น้ำมันดีเซลที่ผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 10% ในทุกลิตร) จะได้รับการชดเชยเพิ่มขึ้นจากเดิม 2 บาทต่อลิตร เป็น 2.50 บาทต่อลิตร หรือเพิ่มขึ้น 50 สตางค์ต่อลิตร เช่นเดียวกับดีเซล B20 (น้ำมันดีเซลที่ผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 20% ในทุกลิตร) ปรับชดเชยเพิ่มขึ้นจากเดิม 3.91 บาทต่อลิตร เป็น 4.41 บาทต่อลิตร หรือชดเชยเพิ่มขึ้น 50 สตางค์ต่อลิตร
ผลจากการปรับอัตราส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ ทำให้ราคาน้ำมันดีเซล B10 ต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซล B7 ถึง 3 บาทต่อลิตร จากเดิมที่ต่ำกว่า 2 บาทต่อลิตร และราคาดีเซล B20 ต่ำกว่าดีเซล B7 ถึง 3.50 บาทต่อลิตร จากเดิมต่ำกว่า 3 บาทต่อลิตร เพื่อจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้ดีเซล B10 มากขึ้น ตามนโยบายกระทรวงพลังงาน ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. 2563 นี้ เป็นต้นไป
ทั้งนี้กระทรวงพลังงานมีนโยบายส่งเสริมให้ดีเซล B10 เป็นน้ำมันดีเซลพื้นฐาน ที่ผู้ค้าน้ำมันจะต้องมีจำหน่ายทุกปั๊มตั้งแต่เดือน มี.ค. 2563 นี้
ทั้งนี้ราคาดีเซล B10 จะปรับลดราคาลง 50 สตางค์ต่อลิตร มาอยู่ที่ 23.09 บาทต่อลิตร จากปัจจุบันอยู่ที่ 23.59 บาทต่อลิตร และปรับราคาดีเซล B7 ขึ้นไป 50 สตางค์ต่อลิตร เป็น 26.09 บาทต่อลิตร จากปัจจุบันอยู่ที่ 25.59 บาทต่อลิตร ส่วน B20 คงราคาเดิมที่ 22.59 บาทต่อลิตร