สามัคคีไทย แนะ รัฐบาลประกาศสงครามกับโควิด-19 ยกเป็นวาระเร่งด่วนแห่งชาติ ตั้งวอร์รูม พร้อมเสนอ 6 แนวทางแก้ปัญหาเชิงรุก
ดร.รยุศด์ บุญทัน ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสามัคคีไทย กล่าวถึงสถานการณ์การระบาดของโควิท-19 ว่า ขณะนี้รัฐบาลไม่ควรที่จะชะล่าใจ แม้จะมีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตไม่มากเมื่อเทียบกับหลายประเทศ แต่ถ้าประเมินจากสถานการณ์แล้วมีแน้วโน้มว่าการระบาดน่าจะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น อีกทั้งนโยบายและการบริหารจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูเหมือนจะมีความสับสน และขาดเอกภาพในการแก้ไขปัญหาพอสมควร ขณะที่การสื่อสารต่อประชาชนก็มีไม่มากพอ จนทำให้สังคมเกิดความไม่เชื่อมั่นต่อมาตรการและแนวทางต่างๆที่รัฐบาลออกมา
ดร.รยุศด์ กล่าวต่อว่า ด้วยความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดดังกล่าว พรรคสามัคคีไทย จึงขอเสนอให้รัฐบาลประกาศทำสงครามกับ โควิด-19 อย่างจริงจัง และยกระดับการแก้ไขปัญหาให้เป็น “วาระเร่งด่วนแห่งชาติ” โดยมีข้อเสนอ 6 แนวทางแก้ปัญหาเชิงรุกดังต่อไปนี้
1.รัฐต้องยกระดับการแก้ไขปัญหาให้เป็น “วาระเร่งด่วนแห่งชาติ” ด้วยการระดมทุกสรรพกำลังไม่ว่าจะเป็นบุคคลากร ผู้เชี่ยวชาญจากทุกหน่วยงาน จัดตั้งเป็นศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 (war room) อย่างเร่งด่วน เพื่อใช้เป็นจุดศูนย์กลางในการเเก้ไข และบริหารจัดการสถานการณ์การระบาดของโรคอย่างเป็นระบบและทันท่วงที ซึ่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพานิชย์ และกระทรวงมหาไทย และอื่นๆ ต้องบูรณาการทำงานร่วมกันอย่างมีเอกภาพและมีประสิทธิภาพ ภายใต้อำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายให้ไว้ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้อำนวยการศูนย์ บัญชาการด้วยตนเอง เพราะถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญที่กระทบต่อความมั่นคง และชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งประเทศ
2.ส่วนกลางต้องมอบอำนาจเต็มให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการสถานการณ์ ซึ่งต้องอาศัยการตัดสินใจอย่างเร่งด่วนทันท่วงทีในเเต่ละพื้นที่ โดยให้อำนาจกับผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารสถานการณ์ พร้อมทั้งให้ส่วนราชการในจังหวัดเข้ามาร่วมทำงาน ตั้ง war room จังหวัด พร้อมรายงานสถานการณ์ต่อส่วนกลางตลอด 24 ชม.
ที่สำคัญรัฐต้องกระจายสิ่งอำนวยความสะดวก เครื่องมือการตรวจเชื้อ covid-19 และอุกรณ์ที่จำเป็นอื่นๆ ไปตามจังหวัดต่างๆ เพื่อลดการกระจุกการจัดการที่ส่วนกลาง
3.ออกมาตรการในการกำกับดูเเลทุกภาคส่วน. ห้ามนักท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศที่มีการระบาดของโควิด -19 เดินทางเข้ามาประเทศไทย รวมทั้งเพิ่มมาตรการในการตรวจระวัง คัดกรองนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ หรือ นักท่องเที่ยวไทยซึ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศต้องได้รับการคัดกรอง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาดของโรคโควิท-19 ต้องถูกกักตัวขั้นต่ำตามมาตรฐาน 14 วันทุกคนไม่มีข้อยกเว้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่ารัฐสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
4.รัฐควรกำกับดูเเลราคาสินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันโรคระบาด เช่น หน้ากากอนามัย นำ้ยาป้องกันเชื้อโรค เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงสินค้าเหล่านี้ได้ รวมทั้งกำกับไม่ให้มีการกักตุนสินค้า หรือจำหน่ายสินค้าอื่นๆ อย่างเกินราคา รวมทั้งรัฐต้องจัดส่งสินค้าในการป้องกันโรคพื้นฐานให้กับประชาชนในการต่อสู้กับการระบาด เช่น หน้ากากอนามัย รวมไปถึง การเตรียมสร้างโรงงานผลิตสินค้าเหล่านี้โดยร่วมมือกับภาคเอกชน ซึ่งการเตรียมพร้อมควรทำก่อนหน้า ไม่ใช่ละเลยให้สถานการณ์บานปลายมีการระบาดรุนแรงแล้วค่อยดำเนินการ
5.รัฐต้องมีมาตรการลงโทษอย่างหนักต่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ที่หาผลประโยชน์บนความทุกข์ยากของประชาชน. โดยเฉพาะหากเป็นผู้ที่มีความใกล้ชิดกับรัฐมนตรีหรือรัฐบาล ยิ่งต้องถูกประนามและมีการลงโทษที่สูงกว่า
6.รัฐต้องเเสดงถึงภาวะผู้นำ การตัดสินใจ ที่มีหลักการเเละเหตุผล. โดยเฉพาะการสื่อสารที่จะนำสารไปถึงประชาชนต้องมีความชัดเจน ไม่สับสน ควรมีการตั้งช่องทางการสื่อสารที่เป็นทางการ และควรเป็นช่องทางหลักในการให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลจากรัฐเเละการเเนะเบาะเเสที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิท -19 ซึ่งจะเป็นช่องทางที่จะต้องสร้างความมั่นใจ ไม่ใช่สร้างความระเเวง ควรเน้นช่องทางทั้งออฟไลน์เเละออนไลน์และต้องเปิดเป็นสาธารณะ เช่น ข้อมูลสำหรับ รพ. หรือ ชุมชนแจ้งว่าขาดหน้ากากหรือ ช่องทางแจ้งว่าพบเจอผู้ต้องสงสัยติดเชื้อ หรือให้ข้อมูลอื่นๆที่เป็นประโยชน์กับประชาชน เป็นต้น ซึ่งต้องทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะมีความสำคัญมากต่อสถานการณ์ที่จะทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น และพร้อมรับมือกับกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ดร.รยุศด์ กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ตนและพรรคสามัคคีไทยนำเสนอเป็นประเด็นที่อยากจะสื่อสารอย่างหนักเเน่นไปยังรัฐบาล เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการสถานการณ์อย่างจริงจัง เพราะในท้ายที่สุดผลประโยชน์จะเกิดกับประชาชน และเราก็จะสามรถก้าวข้ามผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้