นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมคณะ กก.การบริหารจัดการด้านเวชภัณฑ์ป้องกัน ภายใต้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 โดยมีตัวแทนจาก 13 ฝ่าย ประกอบด้วย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข (กรมควบคุมโรค และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ) กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงกลาโหม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรุงเทพมหานคร สมาคมโรงพยาบาลเอกชน กลุ่มสถาบันแพทย์ศาสตร์แห่งประเทศไทย องค์การเภสัชกรรม กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณาในเรื่องของเวชภัณฑ์ป้องกันชนิดต่างๆ ที่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ในสถานพยาบาลต่างๆ รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ป่วย ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความจำเป็นสูงสุด ที่จะต้องมีเวชภัณฑ์ป้องกันที่เพียงพอ เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ด้วยความปลอดภัย
โดย เวชภัณฑ์ป้องกันที่ได้มีการหารือในที่ประชุมประกอบด้วย เจลล้างมือ และแอลกอฮอล์ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมจะเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการในเรื่องของปริมาณ การผลิตให้เพียงพอกับความต้องการ ซึ่งขณะนี้กรมสรรพสามิตได้อนุญาตให้นำเอาเอทานอล ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญมาเป็นส่วนผสมและจำหน่ายได้แล้ว
แต่อาจจะมีปัญหาเรื่องบรรจุภัณฑ์ คือขวด และหัวปั๊ม ซึ่งขณะนี้กระทรวงอุตสาหกรรมกำลังประสานงานให้เปลี่ยนเป็นรูปแบบบรรจุภัณฑ์ชนิดอื่นเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันก็จะผลิตแอลกอฮอล์ 70% ให้นำมาใช้ทดแทนคู่ขนานกันไปได้ด้วย
ส่วนหน้ากาก N95 ชนิดที่ใช้ในการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จะกระจายให้เพียงพอในสถานพยาบาลต่อไป
ส่วนชุด PPE กระทรวงสาธารณสุข จะรับผิดชอบในการจัดหาและกระจายไปยังโรงพยาบาลทุกสังกัดทั่วประเทศเช่นเดียวกัน ขณะเดียวกันทางการจีนแจ้งมาว่าจะช่วยบริจาคให้ประเทศไทยจำนวน 2,000 ชุด หลังจากที่มีการเจรจากับอุปทูตจีน
สำหรับถุงมือแพทย์ ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหาร และ ยา ยืนยันกับที่ประชุมว่ายังมีเพียงพอ สำหรับที่วัดไข้ หรือ เทอร์โมมิเตอร์ ทาง อย. จะรับเป็นเจ้าภาพในการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่จะขอนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย พร้อมกับจะทำการเร่งรัดการดำเนินการอนุญาต และปรับปรุงกฎระเบียบให้สามารถนำเข้ามาได้ง่ายขึ้น
ส่วนเรื่องหน้ากากอนามัยที่ใช้ในการแพทย์ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่กระจายของโควิดขยายวงและมีการแพร่กระจายมากขึ้น และโดยที่ได้มีประกาศแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อที่มีความชัดเจนแล้ว โดยในระดับจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน จึงมีความเห็นว่าในเรื่องของการจัดสรรหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่มีจำกัดนั้น ควรจัดสรรให้กับสถานพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ป่วยเป็นหลัก เพื่อให้มีใช้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเป็นทัพหน้าและเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูงสุด รวมทั้งเปิดโอกาสให้บุคคลกลุ่มเสี่ยงที่อาจจะมีผลต่อการแพร่กระจายโควิด ให้ได้รับหน้ากากอนามัยในการป้องกัน ที่ประชุมจึงมีความเห็นว่าในการกระจายหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ไปยังสถานพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ในทุกประเภททุกสังกัดนั้นควรที่จะให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้รับผิดชอบในการกระจายดังเดิม แต่ต้องเพิ่มปริมาณให้มากขึ้นเพื่อรองรับกับสถานการณ์ที่รุนแรงขึ้น
ส่วนที่เหลือให้กระจายตรงไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดรวมทั้งกรุงเทพมหานคร และให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อระดับจังหวัด ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ในการพิจารณาว่าในแต่ละจังหวัดนั้นควรกระจายไปยังกลุ่มเสี่ยงกลุ่มใดบ้างและกระจายไปยังประชาชนทั่วไปด้วยวิธีใดบ้าง โดยประชาชนในภาพรวมยังมุ่งเน้นให้ใช้หน้ากากผ้าและหน้ากากทางเลือกตามนโยบายรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้มีหลายหน่วยงานกำลังเร่งผลิต รวมทั้งกระทรวงมหาดไทยซึ่งได้ผลิตหน้ากากผ้าใช้ในหมู่บ้านตำบลแล้วนับ 10 ล้านชิ้น