นายมานิต เตชอภิโชค กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด เปิดเผยว่า จากที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร เพื่อแก้ปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด – 19 มีผลตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 – 30 เมษายน 2563 ซึ่งจากข้อมูลผู้ติดเชื้อโควิดทั่วประเทศ ขณะนี้ (26 มี.ค.) มีถึง 1,045 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยที่รักษาตัวในสถานพยาบาลในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 434 ราย
บริษัทฯในฐานะผู้ดำเนินการเก็บขนและกำจัดขยะมูลฝอยติดเชื้อจากสถานพยาบาลในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้มีการปรับการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา โดยขณะนี้ได้เพิ่มชุดปฏิบัติการเก็บขนขยะติดเชื้อโควิด-19 จากที่มีอยู่ 1 ชุดเพิ่มเป็น 4 ชุด โดยทั้ง 4 ชุดขณะนี้ได้รับการติดต่อจากสถานพยาบาลในกรุงเทพมหานคร รวม 12 แห่งที่มีผู้ป่วยโควิด-19 นอนรักษาตัวอยู่ เข้าดำเนินการจัดเก็บขยะติดเชื้อทุกวัน โดยบริษัทฯ มีมาตรการเฉพาะสำหรับขยะติดเชื้อโควิด-19 จะส่งชุดไปจัดเก็บและนำเข้าเผากำจัดทันทีแยกจากขยะติดเชื้อทั่วไป และเพิ่มมาตรการความปลอดภัย
สำหรับทีมปฏิบัติการโดยฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในทุกขั้นตอนตั้งแต่ก่อนเริ่มจัดเก็บขยะจนกระทั่งนำขยะเข้าเตาเผาโดยเจ้าหน้าที่จะต้องถอดชุดและอุปกรณ์ป้องกัน ทั้งชุดป้องกัน ถุงมือที่ต้องใส่ทำงาน 2 ชั้น หมวกสวม 2 ชั้น คลุมทุกส่วนของศีรษะ ลงมาถึงคอ โดยเว้นเฉพาะช่วงดวงตา ซึ่งอุปกรณ์ทั้งหมดนี้จะต้องถอดและนำเข้าเตาเผาพร้อมขยะติดเชื้อโควิดทันทีที่ปฏิบัติงานแล้วเสร็จ
นายมานิต กล่าวต่อว่า สำหรับสถานการณ์ที่มีผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของหน่วยงานแพทย์สาธารณสุขได้มีแผนรองรับทั้งกรณีที่โรงพยาบาลที่รับรักษามีจำนวนเตียงไม่เพียงพอ โดยมีแผนการเพิ่มโรงพยาบาลสนามด้วยนั้น ทางบริษัทฯได้มีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อติดตามสถานการณ์และนำมาปรับแผนดำเนินการของบริษัทฯให้สอดคล้องกัน ซึ่งบริษัทฯจะจัดทีมเข้าจัดเก็บขยะติดเชื้อโควิด-19 อย่างมีมาตรฐานเดียวกันทุกสถานที่เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสอันตรายอย่างรัดกุมที่สุด โดยประสิทธิภาพการกำจัดขยะติดเชื้อของบริษัทฯในสถานการณ์ปกตินั้นพื้นที่กรุงเทพฯมีขยะติดเชื้อเข้ากำจัดประมาณ 40 ตัน/วัน ซึ่งประสิทธิภาพของเตาเผาสามารถกำจัดขยะได้เพิ่มอีก 10 ตันต่อวัน รวมความสามารถกำจัดขยะได้สูงสุดที่ 50 ตันต่อวัน ไม่ให้เกิดปัญหาขยะติดเชื้อตกค้างดังที่เคยเกิดขึ้นในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตามในช่วงประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินนี้ทำให้สถานประกอบการที่เป็นคลีนิกเสริมความงาม คลีนิกทันตกรรม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ผลิตขยะติดเชื้อกลุ่มใหญ่หายไปจากระบบด้วย จึงยังมีกำลังการกำจัดขยะเหลือพอรองรับหากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสยังสูงขึ้นต่อเนื่อง
นายมานิต กล่าวย้ำด้วยว่า “บริษัทฯได้ร่วมรณรงค์ให้ประชาชนชาวกรุงเทพฯโปรดให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการหยุดกิจกรรมต่าง ๆ นอกบ้าน หลีกเลี่ยงการรวมกลุ่ม เว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อร่วมกันหยุดยั้งการแพร่เชื้อ ตามนโยบาย “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” เพื่อร่วมเป็นส่วนสำคัญในการแก้วิกฤตของชาติในขณะนี้ เพื่อให้ดำเนินการควบคุมโรคของรัฐบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อความปลอดภัยของประชาชนทุกคน”.