หากจะกล่าวถึงบทบาทของ เอ็นจีโอ รวมถึงการตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่นดังๆ สักคน โดยเอาที่เห็นผลงานเด่นๆ จนเป็นเรื่องเป็นราวให้เห็นทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว เชื่อว่า 1 ในนั้น ต้องมีชื่อของ “รสนา โตสิตระกูล” ติดอันดับอยู่ด้วยอย่างแน่นอน เพราะเธอเป็นทั้งนักรณรงค์ด้านสุขภาพและสิทธิผู้บริโภค มีบทบาทสำคัญในการเปิดโปงขบวนการทุจริต กรณีการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ในกระทรวงสาธารณสุข เมื่อ พ.ศ. 2541 และยับยั้งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2548หากจะกล่าวถึงบทบาทของ เอ็นจีโอ รวมถึงการตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่นดังๆ สักคน โดยเอาที่เห็นผลงานเด่นๆ จนเป็นเรื่องเป็นราวให้เห็นทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว เชื่อว่า 1 ในนั้น ต้องมีชื่อของ “รสนา โตสิตระกูล” ติดอันดับอยู่ด้วยอย่างแน่นอน เพราะเธอเป็นทั้งนักรณรงค์ด้านสุขภาพและสิทธิผู้บริโภค มีบทบาทสำคัญในการเปิดโปงขบวนการทุจริต กรณีการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ในกระทรวงสาธารณสุข เมื่อ พ.ศ. 2541 และยับยั้งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2548
นอกจากนี้ชื่อของ“รสนา โตสิตระกูล”คอการเมือง หรือโดยเฉพาะคนกรุงเทพมหานครเองเชื่อว่าคงมักคุ้นกับชื่อนี้เป็นอย่างดี เพราะครั้งหนึ่งเธอผู้นี้เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จากการเลือกตั้งของคนกรุงเทพมหานครมาแล้วเมื่อปี 2551ด้วยคะแนนเสียงท้วมท้นถึง 743,397 คะแนนรวมทั้งเธอยังมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องของการออกมาพูดเรื่องพลังงานของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เป็นทั้งนักรณรงค์ด้านสุขภาพและสิทธิผู้บริโภค และยังรวมถึงการเปิดโปงกระบวนการทุจริตคอรัปชั่นด้วย ที่ล่าสุด เจ้าตัว ยังได้ประกาศตัวเข้าท้าชิงตำแหน่งผู้ว่า กทม. ที่กำลังจ่อหัวคิวการเลือกตั้งเข้ามาด้วย
รสนา โตสิตระกูลเกิดเมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2496 จบชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนสตรีมหาพฤฒาราม และจบปริญญาตรีจากคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. 2517 เข้าร่วมโครงการพัฒนาชนบทเมื่อเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่ธรรมศาสตร์ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งปณิธานในการอุทิศตนเพื่อชาติ และการตรวจสอบทุจริตยา
ซึ่งเป็น 1 ในแกนนำในการเคลื่อนไหวล่ารายชื่อ 50,000 รายชื่อ เพื่อยื่นตรวจสอบการทุจริตยาของกระทรวงสาธารณสุข จนเป็นเหตุให้ นายรักเกียรติ สุขธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้น ถูกศาลตัดสินจำคุกเป็นเวลา 15 ปี และถูกยึดทรัพย์เป็นจำนวน 233.8 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีส่วนยับยั้งการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ยื่นเรื่องต่อศาลปกครองในการยับยั้งการแปรรูปของ กฟผ. อันนำมาสู่คำสั่งเพิกถอนพระราชกฤษฎีกาแปรรูป กฟผ. ทั้ง 2 ฉบับ
อปท.นิวส์ เชิญเป็นแขกฉบับนี้มีโอกาสพูดคุยสนทนากับคุณรสนา ที่เริ่มเราให้เราฟังว่า ตัวเธอนั้นได้ทำงานในองค์กรสาธารณะประโยชน์มาตั้งแต่หลังเรียนจบ สมัยเรียนจบมาได้ร่วมกับเพื่อนมาตั้งโครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง ตั้งแต่ปี 2522 เพราะคนส่วนใหญ่พอเจ็บป่วยก็จะใช้แต่ยาแผนปัจจุบัน ที่นี้เธอคิดว่าสมุนไพรเป็นสิ่งที่อยู่ในวัฒนธรรมการรักษาของบ้านเรา แต่กลับถูกทิ้งไปหลังจากที่การแพทย์แผนตะวันตกเข้ามาแทนที่
อีกทั้งสมัยก่อนคนยังไม่สามารถเข้าถึงระบบยาได้อย่างเต็มที่ จึงคิดว่าควรส่งเสริมให้ชาวบ้านใช้สมุนไพรในการรักษา ก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก อย่างเช่นเรื่องของขมิ้นชันที่สามารถรักษาโรคกระเพาะได้ และฟ้าทะลายโจรที่ตอนนี้สังคมกำลังสนใจว่าจะรักษาโควิท-19 ได้ ซึ่งฟ้าทะลายโจรเองมีสรรพคุณในการรักษาโรคท้องร่วง เจ็บคอได้ อีกทั้งยังได้ดำเนินการในเรื่องของเกษตรกรรมที่จะให้ชาวนาลดการใช้สารเคมี ด้วยการส่งเสริมให้มีตลาดที่เป็นผู้บริโภคที่มีความต้องการอาหารที่ปลอดภัยไร้สารเคมี
คุณรสนา เล่าต่อว่าจากนั้นในปี 2540 มีจุดเปลี่ยนเพราะเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันก็น้อยลงไปเพราะไม่มีเงินที่จะให้ทุจริต แต่ก็เริ่มมีข่าวว่ากระทรวงสาธารณสุขมีการทุจริตการจัดซื้อยาในปี 2541 ในช่วงรัฐมนตรีรักเกียรติ ก็มีคนมาติดต่อทางเครือข่ายองค์กรสาธารณะประโยชน์ที่เธอเองร่วมอยู่ด้วย ในการที่จะช่วยกลุ่มหมอและเภสัชฯที่ถูกผู้บริหารตั้งสอบวินัยกล่าวหาว่าพวกนี้หาเรื่องผู้บริหาร ซึ่งเครือข่ายฯ ก็ได้เข้าไปร่วมทำงานต่อสู้ซึ่งตอนนั้นถือเป็นครั้งแรกที่มีกระบวนการคัดค้านเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น และเผอิญตัวเธอเป็นผู้หญิงที่เหมือนกล้าลุกขึ้นมา สื่อต่างๆก็เลยให้ความสนใจ
“ตอนนั้นได้มีการเข้าชื่อ 5หมื่นรายชื่อถอดถอนนักการเมือง พวกเราก็เลยรวบรวมรายชื่อ แต่ตอนนั้นยังไม่มีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ดังนั้นพอส่งรายชื่อที่รวบรวมได้ไปให้กับประธานวุฒิสภาแต่ก็ไม่ได้รับการดำเนินการต่อ เราก็เลยรอจน ป.ป.ช.ตั้งสำนักงานขึ้นมาและออกกฎหมายที่ให้คนสามารถไปร้องเรียนกล่าวหารัฐมนตรีหรือผู้บริหารระดับสูงในเรื่องร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งก็ได้มีการร้องไปว่ารัฐมนตรีรักเกียรติร่ำรวยผิดปกติจากการทุจริตยา จนใช้เวลาในการสืบเรื่องถึง 6 ปีกว่าจะถูกตัดสินว่าร่ำรวยผิดปกติจริงและถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยึดทรัพย์ 233.8 ล้านบาท และถูกตัดสินจำคุก 15 ปี ซึ่งก็ถือว่าเป็นงานที่เกิดขึ้นในช่วงที่ทำงานควบคู่ไปกับเรื่องของสมุนไพรและมาทำเรื่องการต่อสู้การทุจริตคอร์รัปชั่น”
คุณรสนา เล่าให้ฟังต่อไปว่า หลังจากนั้นในปี 2548 รัฐบาลกำลังจะแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ซึ่งกลุ่มของเธอคิดว่าถ้าให้มีการแปรรูปการไฟฟ้าอีกเรื่องก็จะเป็นปัญหาอย่างแน่นอน เลยมีการฟ้องถอดถอนการแปรรูปเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้พอตัดสินออกมาประชาชนมีความรู้สึกว่าบ้านเมืองมีความหวังขึ้น จนมาปี 2549 ได้ลงสมัคร ส.ว.และได้มาเป็นอันดับ 4 จาก 18 คน แต่มาเกิดยึดอำนาจโดย คมช.(คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ) เลยต้องยุบ ส.ว.ไป จากนั้นในปี 2551 ก็มาสมัครเป็น ส.ว.กทม. ก็อยู่มาจนครบ 7 ปี ก็เกิดรัฐประหารอีกในยุคของ คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) จากนั้นก็ได้รับการแต่งตั้งเข้ามาเป็นสปช. (สภาปฏิรูปแห่งชาติ) ที่มาดูในเรื่องของพลังงานที่ควรมีผลประโยชน์ระหว่างรัฐกับเอกชนให้มีความเหมาะสมมากว่านี้
อย่างไรก็ตาม การทำงานที่ผ่านมาต่างๆนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งถ้าถามว่าเหตุใดถึงตัดสินใจลงท้าชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.ก็คงเป็นเพราะว่า กทม.ก็เปรียบเสมือนเป็นบ้านของตัวเอง คือเป็นคนกรุงเทพฯ เกิดที่นี้ อยู่ที่นี้ เรียนที่นี้ ทำงานที่นี้ ก็เห็นว่า
“กทม.ในปัจจุบันนี้มีปัญหาในเรื่องของคุณภาพชีวิตหลายเรื่องมาก บางคนถึงกับคิดว่า กทม.หมดหวัง ทั้งที่เมืองเจริญขึ้น แต่คุณภาพชีวิตของคน กทม.กลับแย่ลง ซึ่งในฐานะที่เป็นคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับเรื่องสาธารณะประโยชน์มาอย่างต่อเนื่องก็อยากที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โดยอย่างแรกเลยคือต้องให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม และมองว่าท้องถิ่นควรเป็นการเมืองที่ต้องใกล้ชิดกับประชาชน”
คุณรสนา ยังได้เล่าให้เราฟังว่าแนวคิดหลักๆ ของการลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. ก็คือเรื่องของการที่จะทำให้การเมืองท้องถิ่นเป็นเรื่องของการแก้ปัญหาการดำรงชีวิตของคน กทม. ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพื้นที่ในการทำมาหากิน เรื่องคุณภาพชีวิตต่างๆ ซึ่งเธอเชื่อว่าคนกทม.มีองค์ความรู้ที่อยากจะเสนอมากมาย เพียงแต่ที่ผ่านมายังไม่มีโอกาสที่จะเปิดโอกาสให้กับพวกเขาที่จะเข้ามาร่วมในการแก้ปัญหาของ กทม.
“ได้มีการร้องไปว่า รัฐมนตรีรักเกียรติร่ำรวยผิดปกติจากการทุจริตยา จนใช้เวลาในการสืบเรื่องถึง 6 ปี กว่าจะถูกตัดสินว่าร่ำรวยผิดปกติจริง และถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยึดทรัพย์ 233.8 ล้านบาท และถูกตัดสินจำคุก 15 ปี ซึ่งก็ถือว่าเป็นงานที่เกิดขึ้นในช่วงที่ทำงานควบคู่ไปกับเรื่องของสมุนไพรและมาทำเรื่องการต่อสู้การทุจริตคอร์รัปชั่น”