นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ในสถานการณ์วิกฤตไวรัสโควิด-19 ระบาดในหลายพื้นที่และรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 มีแนวทางยับยั้งการแพร่ระบาดในพื้นที่ให้เร็วที่สุด ผ่านการบูรณาการความร่วมมือจากทุกหน่วยงานของภาครัฐ ล่าสุดกระทรวงยุติธรรมมีนโยบายเพื่อสนับสนุนแนวทางดังกล่าวของรัฐบาล ผ่านการปรับปรุงห้องแล็บของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เป็นห้องตรวจค้นหาเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยตนได้สั่งการไปยังปลัดกระทรวงยุติธรรมและผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ให้เร่งดำเนินการปรับปรุงและยกระดับห้องแล็บในสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ให้เป็นห้องตรวจหาเชื้อแล้ว เบื้องต้นจะใช้เวลาดำเนินการอย่างเร็วที่สุด 1-2 สัปดาห์ ก่อนที่บุคลากรของกระทรวงสาธารณสุขที่ได้ประสานความร่วมมือจะเข้าตรวจสอบความพร้อมและให้ใบรับรองเพื่อใช้ห้องแล็บดังกล่าวเป็นส่วนสนับสนุนการตรวจหาเชื้อ
“สำหรับศักยภาพของห้องแล็บในสถาบันนิติวิทยาศาสตร์นั้นสามารถตรวจคัดกรองและตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ตามที่กระทรวงสาธารณสุขมอบหมาย ได้วันละ 200 เคส โดยมีบุคลากรของสถาบันฯ ที่มีความเชี่ยวชาญเป็นผู้ดำเนินการตรวจ ส่วนการตรวจหาเชื้อที่เป็นมาตรฐานทางการแพทย์ ทั้งวิธีตรวจสารพันธุกรรมของไวรัส หรือ เรียลไทม์ พีซีอาร์ และวิธีตรวจแบบเจาะเลือด หรือ ราพิด เทสต์ นั้น ทางแล็บของหน่วยงานนั้นมีความพร้อม ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่าชุดน้ำยาตรวจที่อาจมีไม่เพียงพอเพื่อตรวจคัดกรอง และอาจเป็นอุปสรรคให้งานล่าช้านั้น เบื้องต้นได้หาวิธีแก้ปัญหา ผ่านการประสานงานร่วมกันระหว่างปลัดกระทรวงยุติธรรม และปลัดกระทรวงสาธารณสุขแล้ว” นายสมศักดิ์ กล่าว
นายสมศักดิ์ กล่าวย้ำด้วยว่าการปรับปรุงห้องแล็บของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์เพื่อสนับสนุนงานของกระทรวงสาธารณสุขนั้น จะเป็นส่วนเสริมเพื่อให้การทำงานของกระทรวงสาธารณสุขมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่ปัจจุบันมีห้องแล็บเพื่อตรวจหาเชื้อโควิด-19 ใน กทม.จำนวน 28 แห่ง หากเพิ่มส่วนของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์อีกแห่ง จะรวมไปเป็น 29 แห่ง ทำให้มีความรวดเร็วมากขึ้น อย่างไรก็ตามการเปิดแล็บดังกล่าว ไม่ใช่การเปิดสถานที่เพื่อให้ประชาชนที่เข้าข่ายหรือสงสัยว่าจะติดเชื้อเข้าตรวจสอบภูมิคุ้มกันเดินทางเข้ามาตรวจ แต่เป็นการทำงานเพื่อสนับสนุนตามที่กระทรวงสาธารณสุขมอบหมาย ทั้งนี้เชื่อว่าหากแล็บดังกล่าวผ่านการรับรอง การตรวจบุคคลที่คาดว่าจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่อยู่ในเครือข่ายของกระทรวงยุติธรรม เช่น กลุ่มนักโทษ จะทำได้รวดเร็วมากขึ้น ทำให้การยับยั้งการแพร่ระบาด หรือการนำตัวไปรักษาทำได้อย่างทันท่วงทีมากยิ่งขึ้น ซึ่งแนวทางที่จะเกิดขึ้นถือว่าเป็นผลดีต่อการกระชับพื้นที่การแพร่กระจายหรือระบาดของโรคตามมาตรการของรัฐบาลแน่นอน