ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
ข่าวเด่น / ไฮไลท์ ย้อนกลับ
เปิดจดหมายจากธีระชัยถึงพีระพันธุ์จัดสรรก๊าซอ่าวไทยให้ปชช.
03 ม.ค. 2567

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ว่า ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ด่วนที่สุด ต้นฉบับส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2567 เรื่อง ขอให้พิจารณาจัดสรรก๊าซธรรมชาติผลิตจากอ่าวไทยให้เป็นธรรมแก่ประชาชน และให้ถูกต้องตามกฎหมาย

อ้างถึง หนังสือนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ถึงนายกรัฐมนตรี สำเนาเรียนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ฉบับลงวันที่ 17 ธันวาคม 2561 และฉบับลงวันที่ 24 ธันวาคม 2561

ตามที่รัฐบาลได้จัดให้มีการประมูลยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย G1/61 และ G2/61 ในระบบแบ่งปันผลผลิตนั้น

ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า มีผลทำให้ปิโตรเลียมที่ผลิตขึ้นมีสถานะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งรัฐบาลจะต้องบริหารจัดการให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1305 และ 1305 จึงขอเรียนข้อมูลมาดังนี้

1.ปิโตรเลียมจากสัญญาแบ่งปันผลผลิตมีสถานะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน

ในระบบสัมปทานนั้น พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 56 บัญญัติให้ผู้รับสัมปทานมีสิทธิขายและจำหน่ายปิโตรเลียมที่ผู้รับสัมปทานผลิตได้ จึงไม่มีประเด็นว่าปิโตรเลียมที่ผลิตมีสถานะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่

แต่ในระบบแบ่งปันผลผลิตตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2560 หมวด 3/1 สัญญาแบ่งปันผลผลิตนั้น ผลผลิตปิโตรเลียมที่รัฐได้รับเป็นส่วนแบ่งย่อมมีสถานะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินชัดเจน

สำหรับผลผลิตปิโตรเลียมที่เป็นส่วนแบ่งของผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตนั้น  เมื่อพิจารณาพระราชบัญญัติดังกล่าว ประกอบกฎกระทรวงกำหนดแบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต พ.ศ. 2561 ลงวันที่ 8 มีนาคม 2561 ข้อ 6 การจัดการผลผลิตน้ำมันดิบ และ ข้อ 7 การจัดการผลผลิตก๊าซธรรมชาติ

ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า วิธีปฏิบัติที่ระบุไว้ ทำให้ผลผลิตปิโตรเลียมที่เป็นส่วนแบ่งของผู้รับสัญญาฯ มีสถานะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 ด้วย

ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงมีความเห็นว่ารัฐบาลมีหน้าที่ออกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์กรก๊าซแห่งชาติ เพื่อเป็นผู้บริหารจัดการผลผลิตปิโตรเลียมจากสัญญาแบ่งปันผลผลิตทั้งหมด ให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1305

2.การจัดลำดับสิทธิการใช้ประโยชน์ผลผลิตปิโตรเลียมจากอ่าวไทย

ข้าพเจ้าขอเรียนว่า ก๊าซธรรมชาติที่ผลิตจากอ่าวไทยนั้น มีราคาต่ำกว่าก๊าซธรรมชาตินำเข้า และเมื่อนำก๊าซธรรมชาติที่ผลิตจากอ่าวไทยไปแยกเป็นก๊าซหุงต้ม (LPG) ก็จะมีราคาต่ำกว่าก๊าซหุงต้ม (LPG) ที่นำเข้าจากต่างประเทศอย่างมาก

แต่รัฐบาลมิได้ให้ประโยชน์ในก๊าซธรรมชาติที่ผลิตจากอ่าวไทยแก่ประชาชนในฐานะเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติอย่างเป็นธรรม จำเป็นต้องแก้ไขโดยด่วน

ในขณะนี้ประชาชนชาวไทยกำลังเดือดร้อนอย่างหนักเรื่องค่าครองชีพราคาพลังงาน จากการที่รัฐบาลสมัยพลเอกประยุทธ์ได้กำหนดราคาขายก๊าซหุงต้ม (LPG) แก่ภาคครัวเรือน โดยอ้างอิงราคาสมมุติว่านำเข้าก๊าซหุงต้ม (LPG) จากประเทศซาอุดีอาระเบีย บวกค่าใช้จ่ายในการนำเข้า

ทั้งที่ปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ผลิตจากอ่าวไทยที่ส่งเข้าไปยังโรงแยกก๊าซในไทย สามารถผลิตก๊าซหุงต้ม (LPG) ได้มากถึงปีละประมาณ 2.9 ล้านตัน ซึ่งเกินพอปริมาณที่ครัวเรือนใช้ประมาณปีละ 2 ล้านตันอยู่แล้ว

จึงไม่มีเหตุผลใดที่รัฐบาลจะไปกำหนดให้ประชาชนต้องเดือดร้อนโดยนำเอาราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) นำเข้าที่แพงกว่ามาก เข้ามาเกี่ยวข้องในการกำหนดราคาแก่ประชาชน

แต่รัฐบาลควรเปลี่ยนแปลงการจัดลำดับสิทธิการใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติผลิตจากอ่าวไทยให้ประชาชนรายย่อยก่อนผู้อื่น ในฐานะปวงชนชาวไทยที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 3 บัญญัติไว้

ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงมีความเห็นว่า ท่านควรเสนอนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ทำการแก้ไขการจัดลำดับสิทธิการใช้ก๊าซจากอ่าวไทยใหม่โดยพลัน และสั่งการต่อองค์กรก๊าซแห่งชาติที่จะจัดตั้งขึ้น ดังนี้

ลำดับที่หนึ่ง ให้จัดสรรก๊าซหุงต้ม (LPG) ที่ผลิตในโรงแยกก๊าซในไทย ให้แก่ครัวเรือนเป็นลำดับที่หนึ่ง โดยคิดต้นทุนตามราคาก๊าซธรรมชาติที่ผลิตจากอ่าวไทย ไม่เกี่ยวข้องกับก๊าซหุงต้ม (LPG) นำเข้าจากประเทศซาอุดีอาระเบีย

ซึ่งจะช่วยลดราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ลงทันที และจะช่วยแก้ปัญหาที่รัฐบาลต้องชดเชยเงินเป็นประจำทุกวันจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อตรึงราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) อีกด้วย

ลำดับที่สอง ให้จัดสรรก๊าซธรรมชาติที่เหลือ และก๊าซสำเร็จรูปที่เกิดจากการแยกที่เหลือ ให้เป็นสิทธิของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ (กฟผ.) โดยคิดต้นทุนตามราคาก๊าซธรรมชาติที่ผลิตจากอ่าวไทย ไม่เกี่ยวข้องกับก๊าซหุงต้ม (LPG) นำเข้าจากประเทศซาอุดีอาระเบีย

เพื่อจะลดต้นทุนผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. เพราะประชาชนเป็นเจ้าของ กฟผ.เต็มร้อยเปอร์เซนต์

ลำดับที่สาม ให้จัดสรรก๊าซธรรมชาติที่เหลือจากผู้ใช้ลำดับที่ 1 และลำดับที่ 2 แก่ภาคปิโตรเคมีและโรงไฟฟ้าเอกชนต่อไป

ข้าพเจ้าเห็นว่าข้อเสนอนี้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 50 (2) มาตรา 52 มาตรา 57 มาตรา 58 ประกอบมาตรา 278 และมาตรา 72 (5)

3.สิทธิในการเข้าไปร่วมถือหุ้นในสัญญาแบ่งปันผลผลิต

ในเอกสารเชิญชวนให้ยื่นข้อเสนอการประมูลยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย G1/61 และ G2/61 ข้อ 4.4.10 การให้หน่วยงานของรัฐเข้าร่วมลงทุน (State Participation) ระบุว่า

“กระทรวงพลังงานสงวนสิทธิที่จะมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐเป็นผู้ร่วมลงทุนในสัญญาแบ่งปันผลผลิต (State Participation) ในสัดส่วนการลงทุนไม่เกินร้อยละ 25 ภายใต้หลักการการร่วมลงทุนอย่างเท่าเทียมกันกับผู้ขอสิทธิที่ได้รับการคัดเลือกโดยผู้ขอสิทธิต้องเสนอหลักการและเงื่อนไขการให้หน่วยงานของรัฐเป็นผู้ร่วมลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 25”

ข้าพเจ้าขอเรียนว่า สิทธิการลงทุนดังกล่าวนับเป็นทรัพยสิทธิที่มีมูลค่าตีราคาเป็นเงินได้ และเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐบาลไทยที่ไม่อาจสละทิ้ง และไม่อาจยกประโยชน์ไปให้แก่ผู้อื่นใดที่มิใช่ประชาชนโดยรวม และถือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอย่างหนึ่ง

และเป็นสิทธิต่างหากจากสิทธิของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) และผู้ร่วมลงทุนต่างประเทศ โดยไม่ว่าผู้ชนะการประมูลจะเป็นบริษัทต่างชาติหรือเป็นกลุ่มบริษัท ปตท.สผ. รัฐบาลไทยก็ยังมีสิทธิดังกล่าวอยู่เช่นเดียวกัน

การที่ผู้ชนะประมูลเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ก็มิได้ทำให้สิทธิของรัฐบาลไทยหมดไป ทั้งนี้ การที่รัฐบาลไทยใช้สิทธิของรัฐเข้าร่วมลงทุนในสัดส่วนร้อยละ ๒๕ หรือไม่นั้น มีผลแตกต่างกันในด้านผลประโยชน์ที่รัฐบาลไทยจะได้รับ

นอกจากนี้ รัฐบาลไทยไม่จำเป็นต้องจัดงบประมาณเพื่อใช้ในการร่วมลงทุน แต่สามารถใช้มูลค่าจากผลผลิตปิโตรเลียมที่รัฐได้รับเป็นส่วนแบ่ง

ข้าพเจ้าจึงได้ทำหนังสือฉบับลงวันที่ 17 ธันวาคม 2561 และฉบับลงวันที่ 24 ธันวาคม 2561 แจ้งประเด็นนี้แก่นายกรัฐมนตรี สำเนาถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยแสดงผลแตกต่างกันในด้านผลประโยชน์ที่รัฐบาลไทยจะได้รับอย่างชัดแจ้ง

แต่จนบัดนี้ กระทรวงพลังงานก็ยังมิได้แจ้งผลการพิจารณาแก่ข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าจึงขอร้องเรียนให้ท่านทำการตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่ารัฐได้ประโยชน์ครบถ้วนตามที่จะพึงได้ และหากมิได้มีการดำเนินการ ก็ควรสอบสวนเพื่อพิจารณาลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องทำให้รัฐขาดไปซึ่งผลประโยชน์

จึงทำหนังสือนี้ให้ปรากฏและเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา ว่าการกระทำที่เกี่ยวข้องเป็นไปตามกฎหมายและหลักธรรมาภิบาลหรือไม่ และเพื่อประกอบการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ของท่านต่อไป

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 พฤศจิกายน 2567
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
12 ก.ย. 2567
กล่าวได้ว่าบทบาทของตำรวจไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน หลายท่านหลายคน หลังจากผ่านความเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบากในการผดุงความยุติธรรม ไล่จับคนร้ายทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กมาตลอดชีวิตราชการ เห็นความทุกข์ยาองประชาชน เห็นปัญหาของสังคมในทุกแง่มุม อดไม่ได้ที่หลังเกษียณจะก้าวเข้าส...