นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2) ลงพื้นที่เยี่ยมและให้กำลังใจ พร้อมกล่าวแสดงความห่วงใยแก่บุคลากรทางการแพทย์ทุกคน ที่ได้ทุ่มเทเสียสละ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ตลอดระยะเวลากว่า 3 เดือนที่ผ่านมา จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19  พร้อมมอบอุปกรณ์เครื่องเทอร์โมสแกน(เครื่องวัดไข้)​ จำนวน 10  เครื่อง และเงินสนับสนุนจำนวน 20,000 บาท ให้แก่ศูนย์ประสานงานการรับบริจาคเพื่อช่วยเหลือทีมดูแลรักษา และผู้ป่วย โดยมีรศ.นายแพทย์ พุฒิศักดิ์ พุทธวิบูลย์ คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ สาขา 2 และรศ.แพทย์หญิง มณฑิรา ตัณฑนุช หัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สาขา 2 เป็นผู้รับมอบ ณ อาคารศูนย์บริบาลผู้สูงอายุ ตำบลพะวง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา พร้อมทั้งรองผวจ.สงขลา ผู้แทนอบจ.สงขลา ร่วมเป็นสักขีพยาน

    สำหรับศูนย์บริบาลผู้สูงอายุ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา นั้น เป็นศูนย์อำนวยการในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 , และศูนย์ประสานงานการรับบริจาคเพื่อช่วยเหลือทีมดูแลรักษาผู้ป่วย โดยบริเวณชั้นที่ 2 จะใช้เป็นที่พักชั่วคราวให้แก่ทีมแพทย์ พยาบาล ที่เข้าเวรดูแลรักษาผู้ป่วย ส่วนห้องพักชั้นที่ 3 ไว้สำหรับการประสานงาน และอำนวยการต่างๆของแพทย์และพยาบาล ขณะเดียวกันจังหวัดสงขลาได้ร่วมกับโรงพยาบาลสงขลานครินทร์(ม.อ.)​อ.หาดใหญ่ จ.สงขลาและโรงพยาบาลในจังหวัดสงขลา ได้จัดตั้งพยาบาลสนาม(โรงพยาบาลส่วนหน้า)​ ขึ้น ณ ศูนย์บ่มเพาะคนดีสวนประวัติศาสตร์ติณสูลานนท์ จ.สงขลา โดยได้ใช้อาคารลำพู-ลำแพน ในบริเวณศูนย์บ่มเพาะฯเป็นที่พักผู้ป่วยโควิด-19 และใช้อาคารอื่นบริเวณโดยรอบ เพื่อแยกส่วนการทำงานของแพทย์ พยาบาลฯลฯ และ จุดรักษาผู้ป่วยออกจากกัน

    นายนิพนธ์ กล่าวว่า รูปแบบดังกล่าวจะเป็นแนวทางตัวอย่างที่ตนจะไปรายงานต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อให้หน่วยต่างๆในขณะนี้ได้แลกเปลี่ยนวิธีการในการดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยรวมทั้งแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ต่างๆ เพื่อสร้างความปลอดภัยสูงสุดแก่คนทำงาน

    นายนิพนธ์ กล่าวอีกกว่า ในส่วนพื้นที่กักกัน(quarantine)​นั้น จังหวัดสงขลาได้มีการหารืออยู่ตลอดช่วงที่ผ่าน และมีความพร้อมในการเตรียมคนไทยที่จะเดินทางกลับจากประเทศมาเลเซีย โดยทางการไทยจะเข้มงวดในเรื่องการเดินทางเข้าประเทศซึ่งมีการตรวจคัดกรองที่เข้มงวดอยู่แล้ว ขณะเดียวในส่วนของการเข้าพื้นที่ในช่องทางธรรมชาติกว่า 70 จุด ทั่วบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซียนั้น ได้ให้เจ้าหน้าที่เพิ่มกำลังการตรวจตรา พร้อมทั้งให้ญาติพี่น้องของคนไทยกลุ่มดังกล่าวได้ติดต่อญาติและไปขึ้นทะเบียนเพื่อให้มีข้อมูลในการที่จะได้รับความช่วยเหลือต่อไป และเป็นการลดความเสี่ยงของการข้ามแดนโดยไม่ได้รับการคัดกรองโรคอีกด้วย