นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจการเกษตรในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2563 หดตัวลงร้อยละ 4.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สาเหตุหลักมาจากสถานการณ์ภัยแล้งที่รุนแรง ผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ สาขาพืชมีการหดตัวมากที่สุดถึงร้อยละ 7.3 เนื่องจากสถานการณ์ภัยแล้งที่รุนแรง ส่งผลให้ผลผลิตต่อไร่ลดลงข้าวนาปรัง ผลผลิตลดลงร้อยละ 41.6 อ้อยโรงงาน ลดลงร้อยละ 12.7 มันสำปะหลัง ลดลงร้อยละ 5.4 ตามมาด้วยสาขาประมง หดตัวร้อยละ 2.2 เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน การทำประมงทะเลเลยมีปริมาณสัตว์น้ำขึ้นท่าเทียบเรือในภาคใต้ลดลง การเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลได้ปริมาณลดลง เนื่องจากสถานการณ์ภัยแล้งและโรคระบาด ทำให้เกษตรกรปรับลดพื้นที่เลี้ยง นอกจากนั้น การทำประมงน้ำจืดยังมีผลผลิตลดลง โดยเฉพาะ ปลานิลและปลาดุก เนื่อง จากภาวะภัยแล้ง ปริมาณน้ำในเขื่อนและแหล่งน้ำตามธรรมชาติไม่เพียงพอต่อการเลี้ยง
ขณะที่สาขาปศุสัตว์ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 เป็นผลมาจากความต้องการบริโภคทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ทำให้เกษตรกรขยายการผลิต ประกอบกับประเทศไทยมีการเฝ้าระวังควบคุมโรคระบาดได้อย่างเข้มงวด ตลาดต่างประเทศมีความเชื่อมั่น โดยเฉพาะผลผลิตไก่เนื้อที่ตลาดส่งออกหลัก เช่น ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และจีนมีความต้องการนำเข้าเพิ่มขึ้น ผลผลิตสุกรมีความต้องการบริโภคในประเทศและการส่งออกเพิ่มขึ้น ราคาสุกรที่ปรับตัวสูงขึ้นจูงใจให้เกษตรกรเพิ่มการผลิต ผลผลิตไข่ไก่และน้ำนมดิบยังเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการจัดการฟาร์มที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
อย่างไรก็ตาม คาดว่าภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2563 น่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 0.3 โดยสาขาพืชมีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะจะสามารถเพาะปลูกได้ตามฤดูกาลปกติ ประกอบกับสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 เมื่อสถานการณ์คลี่คลายทำให้มีความต้องการสินค้าอาหารเพิ่มขึ้น เห็นได้จากเริ่มมีคำสั่งซื้อข้าวไทยและสินค้าที่เป็นอาหารสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ อ้อยและมันสำปะหลังตลาดมีความต้องการเพิ่มมากขึ้น เพื่อนำไปเป็นวัตถุดิบผลิตแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรค ทำให้การส่งออกสินค้าเกษตรกลุ่มนี้มีแนวโน้มดีขึ้น รวมถึงถุงมือทางการแพทย์ ถุงมือยาง อาหารสุขภาพหรือผลิตภัณฑ์สมุนไพร