โลกของจีน : โดย ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ
อเมริกาหา “แพะ”
หากยังจำกันได้ในช่วงแรกๆ ของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID-19 บรรดากลุ่มชาติผู้มีอันจะกิน โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาขาใหญ่ออกหน้าเป็นพระเอกส่งงบประมาณความช่วยเหลือไปยังนานาประเทศ นัยว่าเป็นความร่วมมือด้านสุขภาพ เป็นการสนับสนุนระบบสาธารณสุขเพื่อช่วยบรรเทาและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคร้าย
หนึ่งในประเทศที่อเมริกาช่วยคือ “กัมพูชา” บ้านใกล้เรือนเคียงของไทย ที่มีสมเด็จฮุนเซนเป็นนายกรัฐมนตรี โดยข้อมูลจากการแถลงของสถานทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงพนมเปญ ระบุว่านับตั้งแต่เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สหรัฐฯ ได้มอบทุนช่วยเหลือเพื่อบรรเทาการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ในกัมพูชาไปแล้วกว่า 3.5 ล้านดอลลาร์
จำนวนเงินช่วยเหลือไม่ใช่ประเด็นสำคัญ และการที่อเมริกาประโคมข่าวช่วยเหลือกัมพูชาสู้ COVID-19 ก็เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ว่า เป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ เพราะช่วงหลังสมเด็จฮุนเซ็นไปแสดงความสนิทชิดเชื้อกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนมากเป็นพิเศษ
แต่ที่น่าตลกและหากชาวอเมริกันรู้คงอยากร้องไห้คือ กัมพูชา จัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการติดเชื้อ COVID-19 น้อยมากเพียง 122 ราย ในจำนวนนี้เป็นชาวกัมพูชาไม่ถึง 50% นอกนั้นส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ตามรายงานไม่ปรากฏผู้เสียชีวิต และจนถึงวันนี้อาจจะรักษาหายหมดแล้วด้วย
ในขณะที่วันนี้ที่สหรัฐอเมริกาเองมีการติดเชื้อ COVID-19 มากกว่า 1.2 ล้านคน เสียชีวิตระดับ 7 หมื่นคน โดยยังไม่มีทีท่าว่าจะชะลอลงเมื่อไร เพราะความเป็นชาติเสรีประชาธิปไตย ทำให้ไม่สามารถสั่งปิดเมืองอย่างเข้มงวด ไม่สามารถสั่งให้ชาวอเมริกัน “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” อย่างที่บ้านเราทำได้
ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรี ระบบสาธารณสุขที่อาศัยการประกันสุขภาพ ระบบการจ้างงานที่นายจ้างสามารถปิดงานเลิกจ้างได้แบบไม่มีเยื่อใยและคำว่าเอื้ออาทร คือสิ่งที่ชาวอเมริกันกำลังประสบอยู่จากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ทรุดหนักในไตรมาสแรก และอาจจะหนักยิ่งกว่าในไตรมาส 2 เห็นได้จากตัวเลขคนตกงานถึง 30 ล้านคนในปัจจุบัน
ภาพศพผู้เสียชีวิจจาก COVID-19 ล้นทะลักสุสาน ภาพคนตกงานนั่งขอทานริมถนน ภาพคนไร้บ้านที่ถูกรัฐสั่งกักตัวบนลานจอดรถกลางแจ้ง ภาพชาวอเมริกันต่อคิวรับอาหารประทังชีวิต ภาพผู้ประท้วงให้รัฐเลิก Lockdown เพราะกลัวอดตายมากกว่าติดเชื้อโรคตาย ฯลฯ คือแรงกดดันต่อรัฐบาลของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ให้ต้องรีบแก้ไข
แต่ทางออกของประธานาธิบดีทรัมป์ในยามนี้คือ หา “แพะ”มารับบาป
องค์การอนามัยโลก (WHO) และสาธารณรัฐประชาชนจีน คือแพะคู่ ที่ทรัมป์โยนบาปให้อย่างหน้าตาเฉยด้วยข้อหาว่า “รู้เห็นเป็นใจเรื่อง COVID-19” ทรัมป์บอกว่า WHO ทำงานผิดพลาด จึงเป็นเหตุผลในการตัดเงินช่วยเหลือ ส่วนจีนก็ทำตัวมีอิทธิพลเหนือ WHO
ช่วงปลายเดือนเมษายน ทรัมป์แถลงข่าวต่อสื่ออเมริกาชัดเจนว่า COVID-19 น่าจะมีต้นตอมาจากห้องแล็ปของสถาบันไวรัสวิทยาอู่ฮั่น ของจีน แม้ไม่มีหลักฐานสนับสนุน แต่ก็ยังระบุว่าจีนปกปิดข้อมูล ไม่แจ้งความเสี่ยงของเชื้อไวรัสให้นานาชาติรับรู้อย่างทันท่วงที และการระบาดใหญ่ทั่วโลกครั้งนี้ อาจจะเป็นความผิดพลาดหรือเจตนาของใครบางคนก็เป็นได้
“ผมกำลังมองหาทางเลือกต่างๆ ที่จะทำให้จีนต้องรับผิดชอบฐานเป็นต้นตอเชื้อไวรัสซึ่งมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตมากมาย” นั่นคือคำพูดของทรัมป์
นอกจากการหาแพะมารับผิดชอบการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์อเมริกาแล้ว ทรัมป์ยังโยง COVID-19 ไปสู่การเมืองภายในประเทศด้วย เพราะทรัมป์รู้ดีว่า นับวันที่จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 และจำนวนคนตกงานเพิ่มมากขึ้นเท่าไร คะแนนเสียงสนับสนุนของตนก็จะลดน้อยลงไปเท่านั้น หากการแพร่ระบาดยังยืดเยื้อโอกาสเอาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายนนี้ก็จะยิ่งเปราะบาง
ไหนๆ แล้ว ก็เอาไวรัส COVID-19 มาเป็นเครื่องมือหาเสียงเสียเลยดีกว่า ทรัมป์จึงป้ายสีไปยัง “ปักกิ่ง” เลยว่าเป็นผู้ส่งออกไวรัสมาคร่าชีวิตชาวอเมริกัน มาทำลายเศรษฐกิจอเมริกาให้ตกต่ำ เพราะไม่ต้องการให้ตนเองนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีต่ออีก 4 ปี
ทรัมป์กล่อมฐานเสียงของพรรครีพับลิกันว่า ปักกิ่งสนับสนุนคู่แข่งขันของตนคือ “โจ ไบเดน” แห่งพรรคเดโมแครต เพราะหวังจะแก้เรื่องดุลการค้าที่ตนพยายามสร้างผลงานในการกดดันจีนที่เอาเปรียบอเมริกา
แม้วาทกรรมของทรัมป์จะไร้หลักฐาน แม้สำนักข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐอเมริกาจะแถลงในเวลาไล่เลี่ยกันแล้วว่า ประชาคมข่าวกรองเห็นด้วยกับความคิดเห็นส่วนใหญ่ของเหล่านักวิทยาศาสตร์ในวงกว้างว่า COVID-19 ไม่ได้สร้างขึ้นโดยมนุษย์ หรือเกิดจากการดัดแปลงพันธุกรรม
แต่การที่สื่ออเมริกาลงข่าวบ่อยครั้ง และโดนัลด์ ทรัมป์ พลิกจุดอ่อนความผิดพลาดของตนในการรับมือกับโรคระบาด โยนบาปเรื่องความเจ็บป่วยและความตายของคนอเมริกันไปให้กับ “ปักกิ่ง” ต่อการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ดูจะได้ผล
เพราะเมื่อมีการวิจัยพบว่า ชาวอเมริกันประมาณ 29% เชื่อว่าไวรัส COVID-19 ถูกสร้างขึ้นในห้องแล็ป ในจำนวนผู้ที่เชื่อกลุ่มนี้ 23% เชื่อว่ามันระบาดโดยตั้งใจ อีก 6% เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ
คงต้องเฝ้าติดตามกันต่อไปว่า ท่ามกลางปัญหาที่รุมเร้า ทั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั้งปัญหาเศรษฐกิจที่ทรุดหนัก ทั้งศึกการเลือกตั้งที่นับเวลาถอยหลัง ทรัมป์ยังจะเลือกใช้จีนเป็น “แพะ” สังเวยความผิดพลาดทั้งหมดหรืออย่างไร