ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “พระมหากษัตริย์ผู้ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก” เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.ที่ผ่านมา "..เมื่อ 50 ปีที่แล้ว ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ เสด็จต่างประเทศ นักข่าวประเทศต่างๆ ไม่รู้ว่าประเทศไทยอยู่ตรงไหน เจริญหรือไม่ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสหรัฐอเมริกา และยุโรป หนังสือพิมพ์รายงานอย่างตื่นเต้นว่า พระเจ้าอยู่หัวของไทยตรัสภาษาอังกฤษได้"
เมื่อเสด็จเยอรมัน ตรัสภาษาเยอรมัน เสด็จฝรั่งเศส ตรัสภาษาฝรั่งเศส ในที่ประชุมแถลงข่าว นักข่าวขอสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ เยอรมัน และฝรั่งเศส พระองค์ทรงตรัสตอบทุกภาษาได้ในเวลาเดียวกัน ทำเอานักข่าวทั้งมวลตะลึง และอัศจรรย์ไปตามๆ กัน"
"ครั้งหนึ่ง ดร.วิษณุ เป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้เข้าเฝ้าพร้อมกับนายกรัฐมนตรีไทย ที่นำประธานาธิบดีประเทศหนึ่งเข้าเฝ้า ประธานาธิบดีท่านนั้นพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ พระเจ้าอยู่หัวจึงตรัสกับผู้นำประเทศนั้น ด้วยภาษาเยอรมัน และฝรั่งเศส ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแปลให้นายกรัฐมนตรีไทยฟังด้วย พอนายกรัฐมนตรีไทยกล่าวถึงประเด็นที่น่าสนใจ พระองค์ก็ทรงถ่ายทอดให้ประธานาธิบดีฟัง พระองค์ตรัสกับนายกรัฐมนตรีไทยว่า "พาเขามาเฝ้า หรือให้ฉันเป็นล่าม"
"เคยรับซองสีน้ำตาลใช้แล้วนับร้อยซองที่เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังส่งมาว่าเป็นของพระราชทาน ทั้งนี้เมื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งเอกสารเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย จะบรรจงใส่ซองสีน้ำตาลพร้อมทั้งพิมพ์หมายเลขออกหนังสือกำกับทุกซอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า ไม่ต้องพิมพ์หมายเลขออกหนังสือที่ซอง ใช้ดินสอเขียนก็ได้ พระองค์จะลบตัวเลขแล้วส่งซองกลับคืนให้ใช้ใหม่"
"อีกครั้งหนึ่งมีคณะรัฐมนตรีใหม่ต้องถวายสัตย์ปฏิญาณ แต่ติดวันเสาร์-อาทิตย์ พระองค์ทรงมีพระราชกระแสผ่านราชเลขาธิการลงมาว่าจะเข้าถวายสัตย์วันไหน ดร.วิษณุกราบบังคมทูลผ่านราชเลขาธิการว่า วันจันทร์ แต่ราชเลขาธิการว่าถ้าพร้อมให้เข้าเฝ้าฯ ได้เลย จึงเชิญ ครม.เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์วันอาทิตย์ เมื่อเข้าเฝ้าฯ จึงตรัสกับนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นว่า ในหลวงไม่มีวันหยุดราชการ"
ครั้งหนึ่ง ดร.วิษณุ เข้าเฝ้าฯ พร้อม นายบรรหาร ศิลปอาชา สมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสถามว่า "หนักใจไหมเวลาทำงาน" นายบรรหาร กราบบังคมทูลว่าหนักใจเพราะไม่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาก่อน พระองค์จึงตรัสว่า "ไม่ต้องหนักใจ เพราะพระองค์ก็ไม่เคยเป็นในหลวงมาก่อน"
พระองค์มีพระเมตตาตรัสว่า เมื่อไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ทำเมืองสุพรรณให้เจริญได้อย่างไร เมื่อมาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ทำให้ทุกจังหวัดให้เจริญเหมือนเมืองสุพรรณอย่างนั้น พร้อมกับทรงหยิบแผนที่แล้วทรงชี้ไปที่จุดหนึ่ง ตรัสถามนายบรรหารว่าอยู่ที่ไหน นายบรรหารกราบบังคมทูลว่า ไม่ทราบ พระองค์จึงเฉลยว่า "อยู่หลังบ้านนายบรรหาร" พร้อมทั้งทรงแนะนำให้ไปดูจะได้แก้ปัญหาการจราจรได้ส่วนหนึ่ง นายบรรหารสารภาพว่าไม่เคยไปตรงนั้น หลังจากนั้นจึงไปดูและสั่งแก้ไขตามพระราชดำริทุกประการ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในฐานะที่เป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก ทรงหนังสือธรรม และศาสนาเสมอ เมื่อมีใครอ้างว่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ พระองค์ทรงระบุชื่อเลย ว่าเรื่องนี้ ท่านปยุตฺโต (พระพรหมคุณาภรณ์) เคยเขียนแล้ว เป็นต้น พระองค์จะทรงเอ่ยฉายาพระสงฆ์ มากกว่าสมณศักดิ์ เพราะสมณศักดิ์เปลี่ยนบ่อย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์นานที่สุดในโลก นับถึงปัจจุบันเป็นเวลานาน 70 ปี ในขณะที่ควีนอลิซาเบธ แห่งสหราชอาณาจักร ทรงครองราชย์นานเป็นที่ 2 ด้วยเวลา 64 ปี ส่วนอันดับที่ 3 ได้แก่ สมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์มูอิซซัดดีน วัดเดาละห์ ทรงเป็นพระราชาธิบดีแห่งบรูไน ครองราชย์ 48 ปี
พระราชดำรัสของสมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัลโบลเกียห์ ที่ตรัสในนามพระมหากษัตริย์ 25 ประเทศ ที่เสด็จมาร่วมฉลองการครองราชย์ 60 ปี เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นพระราชดำรัสที่อ่านเมื่อไรก็ประทับใจเมื่อนั้น ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ
"การที่ใต้ฝ่าพระบาททรงอยู่ในราชสมบัตินานที่สุดเป็นประวัติศาสตร์โลก จะเป็น Record ที่บันทึกตลอดกาล แต่พวกเราที่มาร่วมงาน มิใช่เพราะ Record เนื่องจากตัวเลขก็คือตัวเลข แต่ที่พวกเราสนใจคือ Substance หรือเนื้อหาสาระ ว่าทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจอะไรตลอดเวลานั้น เมื่อพวกเราดูลงลึกก็พบทั้งความทุกข์ ความสุข ความสำเร็จและไม่สำเร็จ แต่ทรงฟันฝ่ามาได้ ด้วยเหตุสำคัญ 3 ประการ คือ Dignity (พระบรมเดชานุภาพ) Wisdom (พระปรีชาญาณ) และCourage (ความกล้าหาญ)"
"ที่คนไทยให้พระราชสมัญญานามว่ามหาราช หรือ The Great นั้น แต่พระมหากษัตริย์ทั้ง 25 ประเทศ พร้อมใจถวายพระราชสมัญญานามว่า ทรงเป็นมิตรที่เราทั้งหลายให้ความเคารพอย่างสูงสุด The Most Respected Colleague"