ครม.อนุมัติใช้ยางพาราในโครงการของกระทรวงคมนาคมระยะเวลา 3 ปี วงเงินรวม 8.5 หมื่นล้าน นำร่องบนถนน ทล.-ทช.รวมระยะทาง 1.2 หมื่น กม. พร้อมเตรียม MOU ก.เกษตรฯ ในสัปดาห์หน้า เพื่อโดยซื้อตรงจากชาวสวนยางโดยไม่ผ่านคนกลาง
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2563 มีมติเห็นชอบการดำเนินการจัดทำแผ่นยางหุ้มแบริเออร์ (Rubber Fender Barrier) โดยใช้วิธีการจัดซื้อโดยวิธีเฉพาะเจาะจง พร้อมปรับแผนการใช้งบประมาณปี 2563 ของกรมทางหลวง (ทล.) และกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ในส่วนที่เป็นพาราแอสฟัลท์ติกคอนกรีต (PARA AC) ให้เหลือเพียงแค่แอสฟัลท์ติกคอนกรีต (AC) เท่านั้น ซึ่งจะเหลืองบประมาณ 2,500 ล้านบาท มาจัดทำแผ่นยางพาราหุ้มแบริเออร์ และเสาหลักกันโค้ง ขณะที่ปีงบประมาณ 2564 และ 2565 จะขอใช้งบประมาณปีละประมาณ 40,000 ล้านบาท รวม 3 ปี (2563-2565) วงเงินประมาณ 85,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวนั้น จะนำมาจัดทำบนถนนที่มีเกาะสีกั้นกลางของ ทล. และ ทช. กว่า 12,000 กม. แบ่งเป็นถนนของ ทล. ประมาณ 11,000 กม. และ ถนนของ ทช. ประมาณ 1,000 กม. ใช้น้ำยางพาราประมาณ 360,000 ตัน (3 ปี) โดยยืนยันว่า ไม่ได้รื้อเกาะกลางของเดิมอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน ในสัปดาห์หน้า จะลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างกระทรวงคมนาคมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำหนดให้เกษตรกรเป็นผู้จำหน่ายและผลิตโดยตรงให้กับ ทล. และ ทช. โดยไม่ผ่านบริษัทอื่นๆ หรือนายหน้า พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยหลังจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ จะคัดเลือกสหกรณ์ที่มีความพร้อมในการดำเนินการ รวมถึงการสนับสนุนด้านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ด้วย
นายศักดิ์สยาม กล่าวต่ออีกว่า สำหรับโครงการดังกล่าวนั้น ถือเป็นการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดเสถียรภาพการใช้ยางพารา รวมถึงทำให้มีความปลอดภัยมากขึ้น และการก่อสร้างจะรวดเร็วขึ้น 8 เท่า หรือใช้เวลาดำเนินการระยะทาง 1 กิโลเมตร (กม.) ประมาณ 1 สัปดาห์ จากรูปแบบเดิมจะใช้ระเวลาดำเนินการ 2-3 เดือน
นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้ ทล. และ ทช. ไปจดสิทธิบัตรแผ่นยางพาราหุ้มแบริเออร์ ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ และใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content) พร้อมมอบหมายให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มข.) ไปศึกษาวิธีการใช้น้ำยาเคลือบแผ่นยางพาราแบริเออร์ เพื่อยืดอายุเวลาจาก 3 ปี เป็น 5 ปี รวมถึงศึกษาการนำมาปรับปรุงใช้ใหม่อีกครั้ง (รีโนเวท) เมื่อหมดอายุการใช้งานแล้ว