ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
สื่อสาร - คมนาคม ย้อนกลับ
สรส.ออกแถลงการณ์ เตรียมตั้ง”คณะทำงานฟื้ฟูการบินไทย”คู่ขนาน
28 พ.ค. 2563

สรส. ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 ตัดพ้อ สหภาพแรงงานและพนักงานไม่มีส่วนร่วมรับรู้แผนฟื้ฟู การบินไทย พร้อมระบุ ความเสียหายเกิดจากการทุจริตของนักการเมืองและผู้บริหาร แต่คนรับกรรมคือ พนักงาน และไมไว้วางใจต่อกระบวนการในการฟื้นฟูของรัฐบาล ฌดยจะมีกากรจัดตั้งคณะทำงานฟื้นฟูการบินไทยคู่ขนานกันไป โดยแถลงการณ์มีรายละเอียดดังนี้

แถลงการณ์ ฉบับที่ ๑

ตามที่รัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติในการฟื้นฟูบริษัทการบินไทย โดยผ่านกระบวนการล้มละลายอันเนื่องมาจากความล้มเหลวในการฟื้นฟูการบินไทย ตามแผนที่ฝ่ายบริหารได้จัดทำขึ้น และได้เสนอผ่านสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) สังกัดกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ และผ่านคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และได้ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปก่อนหน้านี้กว่า ๒ ปี ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ทุกฝ่ายมีการรับรู้ในการดำเนินการทำแผน มีการรายงานทุกครั้งในการประชุม คนร. ยกเว้นสหภาพแรงงานและพนักงาน ที่ไม่มีส่วนรับรู้แต่ประการใด

จนในที่สุดกระบวนการฟื้นฟูตามแผนเดิมที่ผู้บริหาร สคร. คนร. และ ครม. รับรู้และมีส่วนร่วมนั้น ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แต่ปราศจากผู้รับผิดชอบ จนในที่สุดต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลายและจะค้ำประกันเงินกู้ให้การบินไทยฟื้นฟูอีกเป็นจำนวน ๕๔,๐๐๐ ล้านบาท จนสังคมต้องก่นด่าผ่านสื่อออนไลน์ รวมทั้งสื่อมวลชนต่างพร้อมใจกันเสนอข่าว และเป็นช่วงในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-๑๙ และรัฐบาลต้องออก พ.ร.ก. กู้เงิน ๑.๙ ล้านล้านบาท เพื่อเยียวยาประชาชน

และยังไม่ทันเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย ยังไม่ยื่นต่อศาลล้มละลาย ยังไม่มีการแต่งตั้งคณะทำงานในการฟื้นฟู กระทรวงการคลังก็ได้ขายหุ้นบริษัทการบินไทยออกไปทันทีจำนวน ๖๙ ล้านหุ้นๆ ละ ๔.๐๓ บาท จำนวนเงิน ๒๗๘ ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน ๓.๑๗ เปอร์เซ็นต์ ทั้งๆ ที่การบินไทยมีหนี้สินสูงถึง ๒๔๖,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งการขายหุ้นออกไปจำนวนดังกล่าว ไม่ได้ช่วยให้สถานะหนี้ของการบินไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากแต่ประการใด

แต่การขายหุ้นออกไปจนกระทรวงการคลังถือหุ้นน้อยว่าร้อยละ ๕๑ ทำให้บริษัทการบินไทยพ้นสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ และทำให้การตรวจสอบ การมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูจากพนักงานการบินไทยสิ้นสุดลงตามนัยของกฎหมาย เพราะจะทำให้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทยสิ้นสภาพไปด้วย จากนี้ไปการดำเนินการก็ปราศจากการมีส่วนร่วมและการตรวจสอบจากคนการบินไทย

จากที่กล่าวมาคงกล่าวได้ว่านี่คือ “ขบวนการปล้นการบินไทย สายการบินแห่งชาติ” “คือขบวนการล้มสหภาพแรงงาน” ซึ่งได้พยายามทำมาก่อนหน้านี้ และมาบรรลุในสถานการณ์ไวรัสโควิด-๑๙ และการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และที่สำคัญ “คนที่พยายามทำลายการบินไทย สายการบินแห่งชาติ ตั้งแต่ต้น นับแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๔ ก็ยังเป็นเสนาบดีในรัฐบาลชุดนี้” ทั้งที่จริงแล้ว เมื่อมีเหตุที่ต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู โดยผ่านกระบวนการโดยศาลล้มละลายทุกอย่างต้องหยุด เพื่อรอคำสั่งของศาลว่าให้ดำเนินการอย่างไร แต่กรณีนี้เร่งรีบในการขายหุ้น เร่งรีบแย่งชิงในการเสนอคนของตนเองเข้าไปเป็นคณะทำงาน และคณะกรรมการในการตรวจสอบของรัฐมนตรีและพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้อง...ซึ่งชี้ให้เห็นถึงเงื่อนงำที่ไม่น่าไว้วางใจ

สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) มีนโยบายที่แจ่มชัดในการต่อต้านการแปรูปรัฐวิสาหกิจ ต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ มีองค์กรสมาชิกที่เป็นสหภาพแรงงานทั้งรัฐวิสาหกิจ เอกชนและลูกจ้างภาครัฐ จำนวน ๔๔ แห่ง และมีสาขาภูมิภาค ๙ สาขาและศูนย์ประสานงาน สรส. ประจำจังหวัดเกือบทุกจังหวัด ได้สื่อสารและหารือกันเป็นระยะในสถานการณ์ที่ผ่านมา และให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดและรัฐวิสาหกิจเป็นกำลังอันสำคัญในการเป็นเครื่องมือของรัฐบาล

แต่สำหรับเรื่องการบินไทยกับการตัดสินใจของรัฐบาลในครั้งนี้ ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก สรส.จึงได้เชิญประธานสหภาพแรงงานองค์กรสมาชิกทุกแห่ง ที่ปรึกษา และ “คนการบินไทย” มาร่วมประชุมหารือเมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๓ ซึ่งที่ประชุมได้อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง แต่เป็นทิศทางเดียวกันคือ “ไม่ไว้วางใจต่อกระบวนการในการฟื้นฟูของรัฐบาล” เพราะการฟื้นฟูนั้น ไม่ได้เริ่มที่การค้นหาความจริงและการทำความจริงให้ปรากฏ เพราะทราบกันดีว่า ปัญหาที่แท้จริงของการล้มละลายของบริษัทการบินไทย สายการบินแห่งชาติ คือ การทุจริตของนักการเมืองและผู้บริหาร ทั้งทุจริตเชิงนโยบายและการบริหารงานในการจัดซื้อจัดจ้าง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น การจัดซื้อเครื่องบิน การเปลี่ยนเครื่องยนต์ การให้ผู้แทนจำหน่ายบัตรโดยสาร การตั้งบริษัทลูกเพื่อแข่งขันในสายการบินต้นทุนต่ำ เป็นต้น แต่สุดท้ายมาจบลงที่การลดเงินเดือน ใส่ร้ายพนักงานที่ตั้งใจทำงานและยุบสหภาพแรงงาน คือเงื่อนงำที่ไม่อาจไว้วางใจและยอมรับได้

ที่ประชุมจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ที่จะต่อสู้ร่วมกันจนถึงที่สุด เพื่อให้บริษัทการบินไทยเป็นสายการบินแห่งชาติ ที่เป็นความภาคภูมิใจของคนทั้งชาติต่อไป และได้มีการตั้ง “คณะทำงานฟื้นฟูการบินไทย” โดยคณะทำงานประกอบด้วยประธานสหภาพแรงงานองค์กรสมาชิกของ สรส. และ “คนการบินไทย” ที่ยังมีจิตใจต่อสู้ โดยมีเลขาธิการ สรส. เป็นประธานคณะทำงาน และจะเชิญภาคี แนวร่วม พันธมิตร ทั้งที่เป็นองค์กรภาคประชาชน องค์การแรงงาน นักวิชาการ ที่ยังคงรัก หวงแหนการบินไทย สายการบินแห่งชาติ และวางจังหวะก้าวในการขับเคลื่อนคู่ขนานกับรัฐบาล และจะแถลงให้ทราบการดำเนินงานเป็นระยะต่อไป ขอให้องค์กรสมาชิกติดตามและร่วมกันขับเคลื่อนตาม มติ สรส. และคณะทำงานต่อไป

“ร่วมปกป้องการบินไทยให้เป็นสายการบินแห่งชาติ

เพื่อความภาคภูมิใจของคนทั้งชาติ”

สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.)

๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๓

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 30 พฤศจิกายน 2567
อปท.นิวส์เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
12 ก.ย. 2567
กล่าวได้ว่าบทบาทของตำรวจไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน หลายท่านหลายคน หลังจากผ่านความเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบากในการผดุงความยุติธรรม ไล่จับคนร้ายทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กมาตลอดชีวิตราชการ เห็นความทุกข์ยาองประชาชน เห็นปัญหาของสังคมในทุกแง่มุม อดไม่ได้ที่หลังเกษียณจะก้าวเข้าส...