กรศิษฏ์ ภัคโชตานนท์ แจงนโยบายหลังรับตำแหน่งผู้ว่าการ กฟผ. คนใหม่ มุ่งขับเคลื่อน กฟผ. เป็นองค์กรผลิตไฟฟ้าหลักที่มุ่งพัฒนาพลังงานหมุนเวียนควบคู่กับพลังงานถ่านหิน พร้อมกับการเป็นองค์กรที่มีคุณค่าต่อสังคมและประเทศชาติ
นายกรศิษฏ์ ภัคโชตานนท์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)กล่าวว่า จะผลักดัน กฟผ. ให้พัฒนาพลังงานหมุนเวียนควบคู่กับโรงไฟฟ้าถ่านหิน และนำพาให้ กฟผ. เป็นองค์กรที่มีคุณค่าต่อประชาชน สังคม และประเทศชาติ ให้ได้รับการยอมรับและสนับสนุนอย่างยั่งยืนตลอดไป
โดยภารกิจเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการคือ สานต่องานในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศ เริ่มจากการเสนอให้มีการทบทวนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP2015) ทั้งด้านสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงและกำลังผลิตไฟฟ้า โดยจะเร่งพัฒนาพลังงานหมุนเวียนควบคู่กับโรงไฟฟ้าถ่านหินในสัดส่วนที่เหมาะสม เพราะถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหลักในปัจจุบันที่มีปริมาณสำรองมาก สามารถควบคุมต้นทุน
ค่าไฟฟ้าไม่ให้สูงเกินไป ช่วยสร้างความมั่นคงในระบบไฟฟ้าโดยเฉพาะในภาคใต้ที่มีอัตราการเติบโตของความต้องการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยร้อยละ 5 ต่อปี
ในขณะที่ปีที่ผ่านมา ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของภาคใต้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 7.69 ทั้งนี้ กฟผ. จะทำให้โรงไฟฟ้ากระบี่และโรงไฟฟ้าเทพาเป็นที่ยอมรับของประชาชน ยึดแนวทาง “โรงไฟฟ้าอยู่ที่ใด สังคมอยู่ดีมีสุข” ชุมชนต้องได้รับการดูแลคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ทั้งจากกองทุนพัฒนาชุมชนรอบโรงไฟฟ้า และจากโครงการพัฒนาชุมชนของ กฟผ.
ด้านการขับเคลื่อนพลังงานหมุนเวียนนั้น กฟผ. จะเสนอขอกระทรวงพลังงานเพิ่มสัดส่วนความรับผิดชอบของ กฟผ. ในแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) ให้สูงขึ้น สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกให้มากขึ้น
ด้านการจัดหาเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า กฟผ. จะเร่งรัดศึกษาโครงการคลังสถานีแปลงก๊าซธรรมชาติเหลวลอยน้ำ หรือ FSRU (Floating Storage and Regasification Unit) ซึ่งเป็นการศึกษาเพื่อตอบโจทย์ด้านความมั่นคงและต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า ส่วนการเชื่อมโยงโครงข่ายไฟฟ้าระหว่างประเทศ นอกจากจะเป็นการซื้อขายไฟฟ้าแบบทวิภาคี เช่น ไทย–สปป.ลาว ไทย–มาเลเซีย แล้ว ที่น่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรม คือ การซื้อขายไฟฟ้าแบบพหุภาคีในโครงการนำร่องสำหรับการซื้อขายไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ไปยังสิงคโปร์ ผ่านไทยและมาเลเซีย (Lao PDR, Thailand, Malaysia, Singapore Power Integration Project: LTMS PIP) คาดว่าจะมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2561
พร้อมกันนี้ กฟผ. จะปรับปรุงระบบงานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อเร่งรัดให้ตอบสนองงานของ กฟผ. รวมทั้งสนับสนุนนวัตกรรมของประเทศ เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
ทั้งนี้ กฟผ. มีมุมมองการดำเนินงานในหลายมิติ รวมถึงการเป็นองค์กรที่มีคุณค่าต่อสังคม อาทิ การให้ความสำคัญกับการลดก๊าซเรือนกระจก สอดคล้องกับกระแสโลกที่ประเทศไทยได้ไปแสดงเจตจำนงต่อสหประชาชาติ โดย กฟผ. ลดก๊าซเรือนกระจกผ่าน 4 มาตรการ คือ เพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน สร้างโรงไฟฟ้าใหม่ที่มีประสิทธิภาพทดแทนโรงไฟฟ้าเดิมที่หมดอายุ ปรับปรุงอุปกรณ์โรงไฟฟ้าปัจจุบัน และมีการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (DSM) ซึ่งโครงการฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ที่ กฟผ. ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2536 สามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 14 ล้านตัน และโครงการปลูกป่า กฟผ. ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2537 รวมกว่า 440,000 ไร่ โดยสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยได้ประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการปลูกป่า กฟผ. ว่า สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 8.45 ล้านตัน และปล่อยก๊าซออกซิเจนคืนสู่บรรยากาศได้ประมาณ 6.15 ล้านตัน