นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน เปิดเผยว่า โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ขนาด 700 เมกะวัตต์ เป็นโครงการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่จะต้องเร่งทบทวนนโยบาย เนื่องจากเห็นว่าการเปิดรับซื้อรวม 700 เมกะวัตต์ ถือว่าสูงเกินไป และจะส่งผลกระทบให้ปริมาณสำรองไฟฟ้าของประเทศสูงเกินความจำเป็นมากขึ้น จากปัจจุบันไทยมีปริมาณสำรองไฟฟ้ามากถึงเกือบ 40% ของความต้องการใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศแล้ว
สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก แบ่งเป็น 1. โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนประเภทโครงการ Quick Win หรือโครงการระยะเร่งด่วน ที่รัฐบาลจะเปิดรับซื้อ 100 เมกะวัตต์ และ 2. โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนประเภททั่วไป ที่จะเปิดรับซื้อ 600 เมกะวัตต์นั้น ซึ่งการปรับลดสัดส่วนการรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าว ควรปรับลดเฉพาะโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนประเภททั่วไป 600 เมกะวัตต์ลง โดยพิจารณาความเหมาะสมจากสถานที่ที่พร้อมดำเนินโครงการและประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับชุมชนเป็นหลัก ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนประเภท Quick Win 100 เมกะวัตต์ เห็นว่าเป็นปริมาณไม่มากและเหมาะสมอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนยังไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะต้องรอให้รัฐมนตรีพลังงานคนใหม่มาพิจารณานโยบายก่อน อีกทั้งปัจจุบันโครงการดังกล่าวยังต้องรอให้คณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาเห็นชอบแผนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ พ.ศ.2561-2580 หรือ PDP2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ที่บรรจุโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนไว้เป็นครั้งแรกด้วย
ส่วนโครงการโซลาร์ภาคประชาชนตามแผน PDP2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 มีการปรับลดสัดส่วนการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโซลาร์ภาคประชาชนลงจากเดิมรับซื้อ 100 เมกะวัตต์ต่อปี เหลือเพียง 50 เมกะวัตต์ต่อปี เห็นว่าเป็นปริมาณที่เหมาะสมแล้ว เนื่องจากประชาชนยังไม่สนใจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปมากนัก แต่ไม่เห็นด้วยหากรัฐบาลจะส่งเสริมให้ประชาชนติดตั้งมากขึ้นโดยการเพิ่มราคารับซื้อจาก 1.68 บาทต่อหน่วย เพราะจะผิดวัตถุประสงค์ของโครงการที่ต้องการให้ประชาชนติดตั้งเพื่อใช้เองเป็นหลัก ส่วนที่เกินความต้องการใช้จึงสามารถขายไฟฟ้าเข้าระบบได้ ซึ่งหากให้ราคารับซื้อสูงจะกลายเป็นการจูงใจให้ประชาชนติดตั้งเพื่อสร้างผลกำไรแทน
นายมนูญ กล่าวด้วยว่า คาดหวังว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่จะเป็นนักบริหารตัวจริง ไม่ได้เข้ามาเพื่อหวังหาผลประโยชน์ มีการตัดสินใจด้านนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศเป็นสำคัญ โดยโครงการที่กระทรวงพลังงานริเริ่มไว้และอยากให้มีการสานต่อคือ โซลาร์ภาคประชาชน,โรงไฟฟ้าชุมชน,การส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์E20 และน้ำมันดีเซลB10 รวมถึงระบบBlockchain สำหรับการซื้อขายน้ำมันปาล์มทั้งระบบ เป็นต้น นอกจากนี้อยากให้เร่งรัดเปิดสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบที่ 23 รวมถึงประสานงานให้บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด เปิดพื้นที่ให้ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เข้าไปรับช่วงการผลิตปิโตรเลียมในแหล่งเอราวัณได้อย่างราบรื่น เพื่อให้ไทยมีการผลิตก๊าซธรรมชาติและน้ำมันได้ต่อเนื่องและสร้างความมั่นคงพลังงานได้ประเทศต่อไป