รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงพื้นที่สวนรุกขชาติเชตวัน จ.แพร่ ทำพิธีขอขมาบอกกล่าวเทวดาแบบล้านนา หลังรื้อถอนอาคารเก่าแก่ "บอมเบย์เบอร์มา"
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) กล่าวว่า เข้าใจความรู้สึก ความเสียใจของพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดแพร่ทุกคน กับสิ่งที่เกิดขึ้น อาคารที่ถูกรื้อหายไป ทำร้ายจิตใจทุกคน ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่สามารถนำความรู้สึกกลับคืนมาได้ จากนี้ไปในส่วนที่ผิดพลาดหรือมีการกระทำผิดทางราชการก็จะตั้งกรรมการสอบสวน หากกระทำผิดจริงก็ต้องรับผิดชอบ สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นบทเรียนที่ดี และขอให้คำมั่นสัญญาว่าการทำงานจากนี้ไปจะให้ความสำคัญกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่เป็นสำคัญ จะรับฟังความคิด คำแนะนำจากทุกฝ่าย ทั้งภาคราชการ ภาคเอกชน และประชาชน และจะร่วมกันพัฒนา บูรณะ สวนรุกขชาติเชตวัน ให้เป็นที่เชิดชู เป็นแหล่งเรียนรู้ แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดแพร่ ต่อไป นอกจากนี้ รมว.ทส. ยังได้ฝากผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ให้ช่วยกันให้ความสำคัญในการกักเก็บน้ำ ธนาคารน้ำใต้ดิน เพื่อให้ประชาชนได้มีน้ำอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อการเกษตร ใช้ในช่วงฤดูแล้งในปีหน้าและปีต่อ ๆ ไป
“การทำงานทุกโครงการของกระทรวงฯ ขอให้เน้นที่ความสำเร็จ ใช้งบประมาณให้เกิดความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหา ปรับทัศนคติของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ให้พูดคุยทำความเข้าใจ รับฟังความคิดเห็นของประชาชนเป็นสำคัญ รวมทั้งให้บูรณาการความร่วมมือกับทุกหน่วยงานในกระทรวงฯ และจังหวัดโดยการทำงานขอให้หารือและรายงานให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทราบด้วย ยึดหลักการทำงาน "ขยัน ซื่อสัตย์ อดทน และมีวินัย" นอกจากนี้ ให้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับรู้ เข้าใจในสิ่งที่กระทรวงฯ ได้ดำเนินการ และสิ่งสำคัญที่สุดให้น้อมนำแนวพระราชดำริมาเป็นแนวทางในการดำเนินงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์ โดยห้ามไม่มีการนำสถาบันฯ มาแอบอ้างให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท และทำงานให้เต็มกำลังความสามารถเพื่อสนองคุณแผ่นดิน”
นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ขอยืนยันกับประชาชนให้มั่นใจถึงการฟื้นฟูครั้งนี้เป็นไปด้วยความโปร่งใส การดำเนินการจะเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ แนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด รับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน และพร้อมเปิดเผยข้อมูลทุกขั้นตอน เพื่อให้ได้อาคารประวัติศาสตร์คืนมาเป็นสมบัติของคนไทย การทำงานหลังจากนี้จะมีการตั้งคณะกรรมการที่มีตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคประชาชนขึ้นมาทำงานร่วมกันว่ารูปแบบที่ควรจะเป็นควรเป็นอย่างไร โดยมีรูปแบบ 3 รูปแบบที่ต้องผ่านการทำประชาพิจารณ์และได้ข้อสรุปภายในวันที่ 30 ก.ย. นี้ โดยใช้งบประมาณดำเนินการประมาณ 8 ล้านบาท และคาดว่าจะแล้วเสร็ตภายใน ก.ย.หรือต.ค. 2564 โดยเรื่องงบประมาณไม่ใช่ปัญหาแต่ก่อนอื่นต้องสรุปแบบให้เรียบร้อยก่อน
สำหรับแนวทางการบูรณะฟื้นฟูอาคารศูนย์เรียนรู้การป่าไม้ สวนรุกขชาติเชตวัน เน้นการมีส่วนร่วมในการบูรณะฟื้นฟู กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมกับกรมศิลปากร ภาคีเครือข่ายรักษ์เมืองเก่าแพร่ และภาคประชาสังคม ดังนี้
1. การบูรณะฟื้นฟูอาคารศูนย์เรียนรู้การป่าไม้ สวนรุกขชาติเชตะวัน ต้องบูรณะฟื้นฟูอาคารให้มีสภาพใกล้เคียงของเดิมมากที่สุด และเป็นไปในรูปแบบของการบูรณาการร่วมกันทั้งหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและภาคประชาสังคมในทุกขั้นตอน
2. กรมศิลปากร จะรับผิดชอบเป็นที่ปรึกษา กำกับ ดูแลเรื่องการออกแบบ ถอดแบบอาคารศูนย์เรียนรู้การป่าไม้ สวนรุกขชาติเชตะวัน ให้มีสภาพใกล้เคียงของเดิมมากที่สุดและนำของเดิมมาใช้ให้ได้มากที่สุด โดยอาศัยข้อมูลเดิมจากหอจดหมายเหตุ และข้อมูลภาพถ่ายเดิมจากภาคประชาชน เมื่อออกแบบเสร็จแล้วจะมีการทำประชาพิจารณ์เพื่อให้ภาคประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เสนอความคิดเห็นร่วมกันในการเลือกแบบของอาคารที่จะทำการบูรณะฟื้นฟู ทั้งนี้เพื่อให้อาคารที่จะได้รับการบูรณะฟื้นฟูขึ้นนี้เป็นอาคารที่ได้ดีที่สุด และเป็นแบบที่ได้รับการเลือกโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และเพื่อประโยชน์สูงสุดของคนเมืองแพร่
3. กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จะเป็นผู้รับผิดชอบงบประมาณ พร้อมทั้งสนับสนุนกำลังเจ้าหน้าที่ อุปกรณ์ ในการบูรณะฟื้นฟูอาคารศูนย์เรียนรู้การป่าไม้ โดยให้ภาคีเครือข่ายภาคประชาชนมีส่วนร่วมทุกขั้นตอน
อาคารศูนย์การเรียนรู้การป่าไม้ ตั้งอยู่ในสวนรุกขชาติเชตวัน ตำบลในเวียง อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ กระทรวงเกษตรฯ(กรมป่าไม้) ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง มีเนื้อที่ 48-1-87 ไร่ และอาคาร 2 หลัง เพื่อเป็นที่สำหรับใช้ในราชการกรมป่าไม้ (ที่ตั้งที่ทำการป่าไม้เขต ป่าไม้จังหวัด) เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ.2505 เป็นอาคารลำดับที่ 1 (พร.103) ขนาด 900 ตร.ม. ลักษณะเป็นเรือนทรงปั้นหยาไม้ 2 ชั้น เสาไม้สัก ฝาไม้สัก พื้นชั้นล่างคอนกรีต-ชั้นบนไม้สัก หลังคามุงกระเบื้องไม้สัก การได้มาด้วยเงินงบประมาณ 562,500 บาท การใช้ประโยชน์เป็นที่พักและที่ทำการป่าไม้ (หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ฉบับที่ 947/2505) ปัจจุบันคงเหลือเนื้อที่ประมาณ 35 ไร่ เนื่องจากบางส่วนถูกแม่น้ำยมกัดเซาะพังลงไปในแม่น้ำ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2545 ได้มีการแบ่งส่วนราชการของกรมป่าไม้ ออกเป็น 3 กรม ได้แก่ กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อาคารหลังนี้จึงอยู่ในความดูแลของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มีการใช้ประโยชน์เป็นบ้านพักรับรอง ต่อมาในปี พ.ศ.2559 จัดตั้งเป็นสวนรุกขชาติเชตวัน มีการใช้ประโยชน์อาคารเป็นศูนย์เรียนรู้การป่าไม้ จนถึงปัจจุบัน ในปี 2559 มีนายประพงษ์ อรรคสีวร นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ ได้มาทำหน้าที่หัวหน้าสวนรุกขชาติจากนั้นจึงได้สำรวจอาคารศูนย์เรียนรู้การป่าไม้สวนรุกขชาติเชตวันแล้วพบว่า มีสภาพอาคารที่ชำรุดทรุดโทรม มีการผุกร่อนของระเบียง สีของไม้ฝ้าด้านนอกหลุดลอก มีการเอียงของเสาบ้านหลายแห่ง เสาถูกปลวกกิน ทำให้โครงสร้างตัวบ้านอาจจะพังลงมาได้ หัวหน้าสวนรุกขชาติได้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าโดยการใช้ไม้มาค้ำเสริมเสาและคานบางส่วนของบ้านไว้เป็นการชั่วคราว แต่หากไม่ดำเนินการซ่อมแซมอาคาร เกรงจะเป็นอันตรายกับนักเรียน นักศึกษา และประชาชนผู้มาเยี่ยมชม จึงมีแนวคิดที่จะปรับปรุงซ่อมแซมอาคารหลังนี้