เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2563 ณ ศูนย์การประชุมและแสดงสินค้านานาชาติอุบลรัตนราชกัญญา สหกรณ์สุราษฎร์ธานี (โค-ออป) อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี นายจเร ขวัญเกิด ปลัดจังหวัดสุราษฏร์ธานี เป็นประธานเปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่ 2 ต่อการจัดทำร่างรายงานและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ในรายงาน EIA (Environmental Impact Assessment) โครงการโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี ชุดที่ 1 - 2 วันแรก โดยมี นางศรีวรรณ บูรณโชคไพศาล ผู้ช่วยผู้ว่าการแผนงานโรงไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวรายงาน มีประชาชนในพื้นที่ศึกษาโครงการฯ ส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา องค์กรพัฒนาเอกชน ผู้นำศาสนา และประชาชนเข้าร่วมรับฟังอย่างเนืองแน่น
นายจเร ขวัญเกิด กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ผู้แทนของชุมชนและหน่วยงานในพื้นที่ รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ร่วมประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่ 2 ของโครงการโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี ชุดที่ 1-2 ในครั้งนี้ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความครบถ้วนสมบูรณ์ของร่างรายงานฯ รวมถึงได้รับทราบข้อมูล ข้อเท็จจริงพร้อมแสดงข้อคิดเห็น อันแสดงถึงการมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการร่วมกับ กฟผ. โดยขอให้ประชาชนที่เข้าร่วมประชุมในวันนี้ช่วยกันซักถาม พร้อมเสนอความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงเล่มรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการที่เกี่ยวข้องในทุกๆ ด้าน ให้เกิดประโยชน์ต่อชาวสุราษฎร์ธานีมากที่สุด
ด้าน นางศรีวรรณ บูรณโชคไพศาล กล่าวว่า โครงการโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี ชุดที่ 1 - 2 เป็นโรงไฟฟ้าตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561-2580 (PDP2018) เพื่อเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของภาคใต้ โดยเฉพาะฝั่งอันดามันที่ยังขาดโรงไฟฟ้าหลักในพื้นที่ พร้อมรองรับการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาคใต้ ซึ่งจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีการใช้ไฟฟ้ามากเป็นอันดับ 3 ของภาคใต้ โดยจะก่อสร้างบนพื้นที่โรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานีเดิม ซึ่งปัจจุบันได้หยุดดำเนินการแล้วเนื่องจากหมดอายุการใช้งาน แต่เป็นพื้นที่ซึ่งมีความพร้อมของระบบส่งไฟฟ้าอยู่แล้ว ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้ามีราคาถูกลง โครงการฯ มีกำลังผลิตติดตั้งสูงสุดประมาณ 1,660 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักและน้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงสำรอง มีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ชุดที่ 1 ในปี 2570 และชุดที่ 2 ในปี 2572 ตามลำดับ โรงไฟฟ้าใหม่นี้จะช่วยสร้างรายได้และอาชีพให้กับท้องถิ่น ตลอดจนได้รับงบประมาณจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้าเพื่อนำไปพัฒนาชุมชนอีกด้วย
นายขรรชัย เกรียงไกรอุดม ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม บริษัท ซีคอท จำกัด กล่าวว่า การจัดรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้ บริษัทฯ ได้นำเสนอรายละเอียดโครงการ ผลการศึกษาการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ พร้อมเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่ศึกษาโครงการฯ อำเภอพุนพิน จำนวน 6 ตำบล ได้แก่ ต.พุนพิน ต.ท่าข้าม ต.หนองไทร ต.ท่าโรงช้าง ต.เขาหัวควาย ต.ท่าสะท้อน และอำเภอเมือง 1 ตำบล คือ ต.คลองน้อย รวมถึงผู้มีส่วนได้เสียและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมตรวจสอบความถูกต้องและความครบถ้วนสมบูรณ์ของร่างรายงานฯ รวมถึงแสดงข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะเพิ่มเติมจากการจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2562 และการสำรวจและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ในขั้นตอนการประเมินและจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ถึงเดือนเมษายน 2563 ซึ่งบริษัทฯ จะรวบรวมข้อเสนอแนะและข้อห่วงกังวลจากการรับฟังความคิดเห็นฯ ครั้งที่ 2 มาปรับปรุงร่างรายงานและมาตรการฯ ให้มีความเหมาะสม เพื่อจัดทำรายงาน EIA ฉบับสมบูรณ์ นำเสนอสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
โครงการโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี ชุดที่ 1 และ 2 เป็นโรงไฟฟ้าที่บรรจุอยู่ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561-2580 (PDP2018) เพื่อเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของภาคใต้โดยเฉพาะ ฝั่งอันดามันที่ยังขาดโรงไฟฟ้าหลักในพื้นที่ พร้อมรองรับการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาคใต้ ซึ่งจังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นจังหวัดที่มีการใช้ไฟฟ้ามากเป็นอันดับ 3 ของภาคใต้ โดยจะก่อสร้างบนพื้นที่โรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานีเดิม ซึ่งปัจจุบันได้หยุดดำเนินการแล้วเนื่องจากหมดอายุการใช้งาน และยังเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อมของระบบส่งไฟฟ้าอยู่แล้ว จึงช่วยลดการก่อสร้างระบบส่งไฟฟ้า ไม่เพิ่มต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า โครงการฯ มีขนาดกำลังผลิตติดตั้งสูงสุดประมาณ 1,660 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก และน้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงสำรอง มีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (Commercial Operation Date: COD) ชุดที่ 1 ในปี 2570 และชุดที่ 2 ในปี 2572 ตามลำดับ นอกจากนี้ โรงไฟฟ้าใหม่จะช่วยสร้างรายได้และอาชีพให้กับท้องถิ่น ตลอดจนได้รับงบประมาณจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้าเพื่อนำไป พัฒนาชุมชนอีกด้วย