นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการปลูกและการผลิตสินค้าสมุนไพรให้มีคุณภาพระดับสากล เพราะเล็งเห็นศักยภาพในการเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้แก่ประเทศ ทุกวันนี้ สมุนไพรถูกใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรม อาทิ อาหารและเครื่องดื่ม เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยารักษาโรค ดังนั้นตลาดสมุนไพรจึงเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง และยังคงมีคู่แข่งน้อยราย แม้กระทั่งภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ยอดการส่งออกยังขยายตัวกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะตลาด จีน อเมริกาและเวียดนาม
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ติดตามและพร้อมให้การสนับสนุนทุกหน่วยงานในการต่อยอดการดำเนินการตามแผนแม่บทว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรแห่งชาติฉบับที่ 1 ปี 2560-2564 ซึ่งกำหนดเป้าหมายให้เพิ่มมูลค่าการบริโภคผลิตภัณฑ์สมุนไพรจาก 1.8 แสนล้านบาท เป็น 3.6 แสนล้านบาท ในปี 2564 และให้ไทยเป็นผู้นำการส่งออกสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ฯ เป็นอันดับ 1 ในอาเซียน สมุนไพรที่ได้รับความนิยมระดับ Product Champion ได้แก่ ขมิ้นชัน ไพล กระชายดำ และใบบัวบก และที่กำลังได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เช่น ฟ้าทะลายโจร ขิง กระเทียม
ที่ผ่านมา หน่วยงานทั้งระหว่างภาครัฐและเอกชนได้ร่วมกันทำงานอย่างเต็มที่ โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ดูแลในเรื่องการสร้างความเชื่อมั่นในคุณค่าและคุณภาพของสมุนไพรไทย สนับสนุนการสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร และลดความยุ่งยากในการขออนุญาตผลิตของผู้ประกอบการ กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบเรื่องการเพิ่มช่องทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ การจับคู่เจรจาธุรกิจ การออกงานแสดงสินค้า การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการสู่ตลาดต่างประเทศ ซึ่งในปีหน้า กระทรวงฯจะจัดงานส่งเสริมเครื่องสำอางไทยในตลาดใหญ่ๆ อาทิ เยอรมนี ญี่ปุ่น และรัสเซีย มากไปกว่านั้น ยังมีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งได้เดินหน้าขยายพื้นที่ปลูกพืชสมุนไพรแบบอินทรีย์ เพราะจะทำให้ได้วัตถุดิบที่ปลอดสารพิษ สามารถขายได้ราคาดีขึ้น รวมถึงส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มเป็น "แปลงใหญ่พืชสมุนไพร" เพื่อจะได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบครบวงจรภายใต้หลักสูตรที่สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ดำเนินการและความต้องการของเกษตรกร เช่น การผลิตสมุนไพรคุณภาพ เพื่อให้มีปริมาณเพียงพอและมีคุณภาพตรงความต้องการของตลาดโดยเน้นเรื่อง การจัดทำแผนการผลิต การวิเคราะห์พื้นที่ปลูก และการจัดการหลังเก็บเกี่ยวรวมถึงเพิ่มมูลค่าของผลผลิต เป็นต้น