ทั้งนี้ เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีรายงานข่าว เปิดเผยว่า การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้แจ้งความคืบหน้าการดำเนินโครงการระบบขนส่งมวลชนรถไฟฟ้ารางเบาในภูมิภาค โดยคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม.ได้สั่งการให้ รฟม.ทบทวนความเหมาะสมและความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการแทรมในภูมิภาคทั้ง 4 จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ โคราช และพิษณุโลก อย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนดำเนินการเปิดประมูลจริง เพราะคณะกรรมการ รฟม.กังวลว่า อาจจะไม่คุ้มค่าในการลงทุน แม้จะใช้รูปแบบการเปิดให้เอกชนเข้าร่วมทุนแบบเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (พีพีพี) แต่หากเปิดให้บริการ เกิดภาวะขาดทุนติดต่อกันต่อเนื่อง อาจทำให้เอกชนทิ้งโครงการได้ ซึ่ง รฟม.ทำได้แค่ยึดเงินประกันที่มีจำนวนไม่มาก
โดยโครงการรถรางไฟฟ้ารางเบา หรือแทรม เฉพาะเชียงใหม่ วงเงินทั้งสิ้น 27,211 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 4,435 ล้านบาท, ค่าก่อสร้างงานโยธา 15,611 ล้านบาท, ค่างานระบบและตัวรถไฟฟ้า 5,502 ล้านบาท ค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการ 698 ล้านบาท รายการของบสำรองที่จัดเตรียมไว้ 966 ล้านบาท ที่ภูเก็ต วงเงินลงทุน 3.48 หมื่นล้านบาท บอร์ดได้สั่งการให้ รฟม .กลับไปศึกษาเกี่ยวกับปริมาณคาดการณ์ผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการใหม่ เพราะในต่างจังหวัดนั้น ปัจจุบันพบว่า คนส่วนมากนิยมใช้รถจักรยานยนต์ ซึ่งสะดวกและรวดเร็วกว่า
“การก่อสร้างรถไฟฟ้าในต่างจังหวัดทั้ง 4 แห่ง คือ ภูเก็ต เชียงใหม่ โคราช และพิษณุโลกนั้น ไม่ง่าย ปัญหาใหญ่คือ
ประเด็นความต้องการใช้จริงมีมากน้อยแค่ไหน ความคุ้มค่าของโครงการ ซึ่งหากไม่คุ้มค่าเอกชนก็ไม่สนใจลงทุน”