นักเศรษฐศาสตร์ จากธนาคารแห่งประเทศไทย และคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ ‘เงินบาท’ ปี 2564 “ผันผวนสูง-ต้านทานยาก” แนะการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องที่สำคัญมาก คาดการณ์ว่าจะต้องเหวี่ยงสูงแน่นอน
7 ม.ค. 2564 นายวศิน โรจยารุณ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า ตีมของอัตราแลกเปลี่ยนในปี 2564 มีคีย์เวิร์ดหรือคำสำคัญอยู่สองคำ คือ ผันผวนสูง และ ต้านทานยาก ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิด “ความผันผวนสูง” ยังคงเป็นเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 หากประเทศใดมีข่าวว่าเกิดการแพร่ระบาดหนัก กระแสเงินทุนจะไหลออกจากประเทศนั้นอย่างฉับพลัน หรือหากมีการประกาศใช้วัคซีน กระแสเงินทุนมีแนวโน้มจะไหลกลับเข้ามา นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของสภาพคล่องล้นโลก จากธนาคารกลางทั่วโลกอัดฉีดเงินเข้ามาเพื่อเยียวยาเศรษฐกิจ ทำให้สภาพคล่องไหลไปสู่สินทรัพย์ต่างๆ อย่างรวดเร็ว ในอีกไม่ช้านโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะใช้เม็ดเงินจำนวนมหาศาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาห์สหรัฐอ่อนลง และมีแนวโน้มเคลื่อนย้ายมายังภูมิภาคเอเชียมากขึ้น
อีกคำสำคัญคือ “ต้านทานยาก”
โดยมีการศึกษาในธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่าอัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทเคลื่อนไหวตามสกุลเงินต่างประเทศถึง 85% ไม่เคลื่อนไหวตามสกุลเงินต่างประเทศเพียง 15% หมายความว่าเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนขยับไปมาอย่างรวดเร็วมักเกิดจากปัจจัยภายนอก เวลาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐขยับ เราก็จะปรับตามทันที ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ทั้งสิ้น นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารแห่งประเทศไทยแนะนำว่า ปี 2564 การบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องที่สำคัญมาก คาดการณ์ได้เลยว่าจะต้องเหวี่ยงสูงแน่นอน
ด้าน ผศ.ดร.นิพิฐ วงศ์ปัญญา รองคณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเมินว่า เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่ามากขึ้น เนื่องจากไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมาตั้งแต่ปี 1997 แม้ว่าการแพร่ระบาดของโควิด 19 สร้างปัญหาให้กลไกทางเศรษฐกิจหดตัว แต่ดุลการค้าของไทยยังเกินดุลเพราะกำลังการผลิตของไทยต่ำ การนำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และลดลงมากกว่าการส่งออกที่ชะลอตัวลง การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดยังสะท้อนให้เห็นถึงการลงทุนที่ต่ำ ซึ่งการลงทุนที่ต่ำทำให้การนำเข้าต่ำลงไปอีกด้วย
นอกจากนี้ เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น จากการที่เงินเฟ้อของไทยต่ำกว่าเงินเฟ้อของสหรัฐ ในเดือนธันวาคม 2563 เงินเฟ้อของไทยอยู่ที่ -0.27% ในขณะที่เงินเฟ้อของสหรัฐอยู่ที่ 1.2% แสดงให้เห็นถึงระดับราคาสินค้าของไทยถูกกว่าสินค้าของสหรัฐโดยเปรียบเทียบ ส่งผลให้ความต้องการสินค้าไทยมีมากกว่า บาทจึงมีแนวโน้มแข็งค่ามากขึ้น สาเหตุเชิงโครงสร้างที่ทำให้เงินเฟ้อของไทยต่ำคือการผลิตของประเทศมีแนวโน้มต่ำกว่าระดับศักยภาพ จะเห็นได้ว่าทิศทางของเงินบาทจะขึ้นอยู่กับตลาดสินค้าเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น ความผันผวนของค่าเงินบาทขึ้นอยู่กับตลาดเงินเป็นสำคัญ ปริมาณการซื้อขายสินทรัพย์มีมากกว่าปริมาณการซื้อขายสินค้าและบริการมาก เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลานี้ เนื่องจากมีเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ของไทยอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนยังมองว่าไทยมีความเสี่ยงต่ำจากเสถียรภาพทางการเงิน ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดส่งผลให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้น หนี้สาธารณะยังไม่สูงมากจนจะเกิดวิกฤตหนี้ อัตราดอกเบี้ยนโบบายในระดับต่ที่ 0.5% จูงใจให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดเงินของไทยมากขึ้น มองการค้นพบวัคซีนต้านทานการแพร่ระบาดของโควิค-19 ซึ่งจะถูกนำไปใช้กันอย่างแพร่หลาย แม้จะทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของโลกโดยรวมจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่จะไม่มีผลกระทบต่อค่าเงินบาทมากนัก