ทั้งนี้ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้รายงานงานเงื่อนปมโครงการประกวดราคาจ้างโครงการส่งเสริมการใช้พลังงานในหน่วยงานภาครัฐ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 (อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตากและอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน) (ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์) ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) วงเงิน 45,796,000 บาท ว่า กำลังถูกจับตามองอย่างมากจากสาธารณชน

โดยระบุว่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จ.แม่ฮ่องสอน (ป.ป.ช.แม่ฮ่องสอน) เนื่องจากพบว่า โครงการโซล่าร์เซลล์แห่งนี้ ในส่วนของการติดตั้งระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์แก้ปัญหาภัยแล้งพร้อมระบบกรองน้ำ ทั้งหมด 6 แห่ง ในพื้นที่ตำบลแม่เหาะ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน สามารถใช้การได้ 1 จุดเท่านั้น ส่วนที่เหลือมีทั้งหญ้าปกคลุม รกร้าง ไม่มีผู้ดูแล โดย ป.ป.ช.แม่ฮ่องสอน ได้ทำหนังสืออย่างเป็นทางการขอรายละเอียดทั้งหมดของโครงการจาก กอ.รมน.ภาค 3 ไปแล้ว โดยมีกำหนดเวลา 15 วัน (อ่านประกอบ : เปิดยิบ! ขั้นตอนจัดซื้อโซล่าร์เซลล์ กอ.รมน.แม่เหาะ 45.5 ล.- ป.ป.ช.ตั้งแท่นสอบราคาแพง?)

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานความเป็นมาของโครงการดังกล่าว รวมถึงบริษัทเอกชนผู้ชนะการประกวดราคา และคู่เทียบให้ทราบกันไปแล้ว แต่หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า บริษัท เอเอส เอ็นเทค จำกัด ผู้ชนะการประกวดราคาโครงการนี้ ด้วยวงเงิน 45,590,000 บาท เคยเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐในรอบ 7 ปีหลังสุด (2558-2564) จำนวนมากถึง 156 โครงการ วงเงินกว่า 417 ล้านบาท

สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ มีรายละเอียดดังนี้   

งบประมาณในปี 2558 เป็นคู่สัญญาอย่างน้อย 10 โครงการ รวมวงเงิน 11.37 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นคู่สัญญากับสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน

งบประมาณในปี 2559 เป็นคู่สัญญาอย่างน้อย 16 โครงการ รวมวงเงิน 45.83 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นคู่สัญญากับสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน

งบประมาณในปี 2560 เป็นคู่สัญญาอย่างน้อย 26 โครงการ รวมวงเงิน 121.76 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นคู่สัญญากับสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน

งบประมาณในปี 2561 เป็นคู่สัญญาอย่างน้อย 24 โครงการ รวมวงเงิน 111.73 ล้านบาท โดยมีวงเงินสัญญาสูงสุดกับ กอ.รมน. โดยเป็นโครงการที่กำลังเป็นประเด็นปัญหาคือ โครงการประกวดราคาจ้างโครงการส่งเสริมการใช้พลังงานในหน่วยงานภาครัฐ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 (อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตากและอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน) (ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์) ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) วงเงิน 45,796,000 บาท ที่อยู่ระหว่างถูก ป.ป.ช. ตรวจสอบ

งบประมาณในปี 2562 เป็นคู่สัญญาอย่างน้อย 47 โครงการ รวมวงเงิน 73.27 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นคู่สัญญากับกรมทรัพยากรน้ำ

งบประมาณในปี 2563 เป็นคู่สัญญาอย่างน้อย 28 โครงการ รวมวงเงิน 40.98 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นคู่สัญญากับกรมทรัพยากรน้ำ

งบประมาณในปี 2564 เป็นคู่สัญญาอย่างน้อย 5 โครงการ รวมวงเงิน 12.95 ล้านบาท เป็นคู่สัญญากับกรมทรัพยากรน้ำทั้งหมด ลงนามสัญญาในวันเดียวกันคือเมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2563

รวมในปีงบประมาณ 2558-2564 (ข้อมูล ณ วันที่ 22 ม.ค. 2564) บริษัท เอเอส เอ็นเทค จำกัด เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐอย่างน้อย 156 โครงการ รวมวงเงินอย่างน้อย 417.89 ล้านบาท

สำหรับข้อมูลของบริษัท เอเอส เอ็นเทค จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2556 ทุนปัจจุบัน 10 ล้านบาท แจ้งประกอบธุรกิจกิจการรับเหมาก่อสร้างและติดตั้งระบบต่าง ๆ ตั้งอยู่ที่ 33/36 ม.6 ซ.14 ถ.เชียงใหม่-ฮอด ต.แม่เหียะ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่

ปรากฏชื่อนายทรงกฤต ก๋าบุญเรือง เป็นกรรมการ แจ้งรายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2563 นายทรงกฤต ก๋าบุญเรือง ถือหุ้นใหญ่สุด 625,000 หุ้น (62.5%) นางนวรัตน์ สุรินทร์วงศ์ ถือ 200,000 หุ้น (20%) นายพัฒนะ วิไลลักษณ์เลิศ ถือ 100,000 หุ้น (10%) น.ส.ณัฏฐา ยาโนยะ ถือ 50,000 หุ้น (5%) น.ส.นีรนุช ตั้งมหาตระกูล และ น.ส.เพ็ญศรี สร้อยนาค ถือเท่ากันรายละ 10,000 หุ้น (1%) และนางศรีมอญ สมฤทธิ์ ถือ 5,000 หุ้น (0.5%)

แจ้งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2562 มีรายได้รวม 112,615,659 บาท รายจ่ายรวม 105,199,819 บาท เสียภาษีเงินได้ 1,197,876 บาท กำไรสุทธิ 4,468,978 บาท

นอกจากนี้ บริษัท เอเอส เอ็นเทค จำกัด ปรากฎชื่อเป็น 1 ใน 7 เอกชน ที่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 3 ใช้เป็นแหล่งสืบราคากลาง ในการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีการเบิกงบค่าก่อสร้างระบบผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) ขนาดกำลังติดตั้งไม่น้อยกว่า 210 กิโลวัตต์ พร้อมระบบกักเก็บเก็บพลังงาน ด้วยวงเงิน 45,100,000 บาท ที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงการใช้งบประมาณ และถูกยื่นเรื่องต่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ให้เข้าไปตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณในขณะนี้