‘มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค’ ค้าน ‘กทม.’ เก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว 104 บาทตลอดสาย ชี้แพงเกินไปสวนทางรายได้ขั้นต่ำ เรียกร้องนายกฯสั่งชะลอขึ้นค่าโดยสาร-เปิดรายละเอียดการต่ออายุสัมปทานเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 22 ม.ค. ที่ผ่านมา มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคออกมาเคลื่อนไหว หลังพล.ต.อ อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงนามประกาศกรุงเทพฯ โดยให้ปรับขึ้นราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวเป็น 104 บาทตลอดสาย ตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ.2564 โดยมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเห็นว่า อัตราค่าโดยสารดังกล่าว แพงเกินไปสวนทางกับรายได้ขั้นต่ำของคนไทย พร้อมเรียกร้องเปิดเผยรายละเอียดสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว
นายคงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ ผู้ประสานงานโครงการขนส่งมวลชนที่ปลอดภัยและเป็นธรรม มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) กล่าวว่า อัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวตลอดสายที่ กทม. ประกาศเรียกเก็บในราคา 104 บาท แม้จะน้อยกว่า 158 บาทที่เคยศึกษาไว้ แต่ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงเมื่อเทียบกับรายได้ค่าแรงขั้นต่ำ หากคิดค่าเดินทางต่อเที่ยวจะเท่ากับ 31.5% และหากต้องเดินทางไปกลับด้วยรถไฟฟ้าจะต้องเสียค่าเดินทางมากถึง 63% ของค่าแรงขั้นต่ำ
นายคงศักดิ์ ระบุว่า การดึงดันปรับเพิ่มค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยไม่รับฟังเสียงทัดทานของ กทม.นั้น เป็นการสร้างภาระค่าใช้จ่ายกับผู้บริโภค และมีเจตนาที่ดูเหมือนว่าต้องการให้ผู้ใช้บริการเป็นตัวประกันเพื่อต่อรองกับรัฐบาลเพื่อให้ยอมรับการขยายสัญญาสัมปทาน จนสุดท้ายทุกฝ่ายต้องยอมรับอัตราค่าโดยสารในราคา 65 บาท ขณะที่อัตราค่าโดยสารในราคา 65 บาทดังกล่าว ก็ยังสูงเกินสมควรสำหรับผู้บริโภค
“ทุกวันนี้ผู้บริโภคต้องอยู่กับปัญหารถไฟฟ้ามาต่อเนื่อง เช่น ต้องถูกคิดค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนถ้าใช้รถไฟฟ้าข้ามสาย ขาดระบบตั๋วร่วมสำหรับผู้ใช้รถไฟฟ้าและบริการขนส่งมวลชนทุกระบบ จุดเชื่อมต่อบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับผู้พิการหรือผู้สูงอายุในการเดินทางยังมีน้อย หรือบริการห้องน้ำสาธารณะที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งสาเหตุสำคัญ เพราะรัฐทำให้รถไฟฟ้ากลายเป็นบริการทางเลือก แทนที่จะเป็นบริการขนส่งมวลชนที่ทุกคนต้องมีสิทธิเข้าถึงบริการรถไฟฟ้าด้วยราคาที่เหมาะสมเป็นธรรม” นายคงศักดิ์ กล่าว
นายคงศักดิ์ กล่าวว่า หากรัฐวางเฉยไม่เร่งรัดดำเนินการปกป้องสิทธิประโยชน์ของประชาชนและรัฐ ต่อจากนี้คนไทยอาจต้องล้มละลายจากค่าเดินทางด้วยบริการขนส่งมวลชนทุกประเภทรวมกันมากเกิน 300 บาทต่อวัน หรือคิดเป็น 100% ของค่าแรงขั้นต่ำเลยทีเดียว ดังนั้น เพื่อให้ปัญหาที่เกิดขึ้นมีข้อยุติที่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้อย่างเป็นรูปธรรมและไม่เป็นภาระของผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มีข้อเสนอเร่งด่วนที่สำคัญต่อการแก้ปัญหา ดังต่อไปนี้
1.ขอให้นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งชะลอแผนการขยายสัญญาสัมปทานโดยทันที และให้กรุงเทพมหานครหยุดการเรียกเก็บค่าเดินทางในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 ออกไปก่อน
2.ขอให้เปิดเผยข้อมูลรายละเอียดสัญญาสัมปทานต่อสาธารณะ เพื่อรับฟังความเห็นจากองค์กรผู้บริโภค ประชาชน และนักวิชาการ ที่ได้ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต สุขภาพ อนามัย จากการดำเนินการของรัฐ ตามมาตรา 58 และมาตรา 61 ของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะมติให้ความเห็นชอบ
3.ขอให้ทบทวนสัญญาสัมปทานการเดินรถไฟฟ้าทุกสายในปัจจุบัน และสัญญาที่จะทำในอนาคตเพื่อศึกษาผลกระทบ กำหนดแนวทาง และสิทธิประโยชน์ของประชาชนและรัฐให้ไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่ผู้บริโภคทุกกลุ่มต้องเข้าถึงได้อย่างเป็นธรรม ยกเว้นค่าแรกเข้ากรณีโดยสารรถไฟฟ้าข้ามสาย พัฒนาระบบตั๋วร่วมและระบบการเชื่อมโยงบริการขนส่งมวลชนทุกประเภท เพื่อความสะดวกปลอดภัยของผู้บริโภคที่ใช้บริการ
4.ขอให้กำหนดมาตรฐานค่าใช้จ่ายบริการขนส่งมวลชนทุกประเภทรวมแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของค่าแรงขั้นต่ำ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยมาใช้บริการ ซึ่งทั้งรัฐบาลและท้องถิ่นต้องพัฒนาระบบสนับสนุนที่โปร่งใส มีประสิทธิภาพ สะอาด มีคุณภาพในการให้บริการ
5.ขอให้รัฐบาลประกาศเป็นนโยบายสาธารณะให้รถไฟฟ้าเป็นบริการขนส่งมวลชนที่ทุกคนต้องขึ้นได้ ไม่เป็นเพียงขนส่งทางเลือกสำหรับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง