หากจะมองหานักวิชการด้านการศึกษา ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่วัยหนุ่มแล้ว หนึ่งในนั้น คงจะต้องพูดถึง ผู้ช่วยศาสตราจย์ คร.คณกร สว่างเจริญ อธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จ เจ้าพระยาบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (มบส.) หนึ่งใน สถาบันการศึกษาที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของประเทศไทย ที่วันนี้ได้กลายเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำ ทั้งในประเทศไทยและในภูมิภาคอาเชียนไปแล้วอย่าง ไม่หยุดยั้ง ทั้งด้วยความนิยมของเยาวชนไทยเอง รวมไปถึงเยาวชนในอีกหลายประเทศใกล้เคียง
ปัจจุบัน "อาจารย์คณกร" กำลังย่างเข้าสู่วัย 49 ย่าง 50 ปี โดยเกิดเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2519 และ ได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นดำรงตำแหน่งอธิการบดีเมื่อ วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2567 ถือได้ว่าเป็นอธิการบดี หนุ่มผู้หนึ่งที่ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนี้อย่างน่าภาคภูมิใจ ยิ่ง และโดยเฉพาะการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดดังกล่าว นี้ อาจารย์คณกร ถือเป็นลูกหม้อที่ไต่เต้ามาตั้งแต่ การเป็นอาจารย์เริ่มต้นในสถาบันการศึกษาแห่งนี้มา โดยต่อเนื่อง
อาจารย์คณกร เริ่มบอกเล่าเรื่องราวถึงชีวิต ของอาจารย์ว่า พื้นเพแรกเกิดที่อำเภอเมือง จังหวัด อุตรดิตถ์ คุณพ่อคุณแม่ประกอบอาชีพค้าขายทำธุรกิจ ซึ่งคุณพ่อเป็นคนกรุงเทพฯ แต่คุณแม่เป็นคนอุตรดิตถ์ เริ่มเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนเทศบาลวัดท้าย ตลาด ในสังกัดเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จนจบประถม ศึกษาปีที่ 6 ก็มาเรียนต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษา 1-3 ที่โรงเรียนประจำจังหวัดโรงเรียนอุตรดิตถ์ชายล้วน พอมาในมัธยมปลาย 4-5-6-ก็จะเป็นเรียนแบบสหศึกษา ชาย-หญิง เรียนร่วมกัน
สถาบันราชภัฎ อุตรดิตถ์ ซึ่งตอนนั้นก็ได้โควต้า เรียนทางด้านคอมพิวเตอร์ ซึ่งตอนนั้นการเรียนด้าน คอมพิวเตอร์มีการแข่งขันสูงมาก เพราะเป็นช่วงเป็น ยุคที่เข้ามาใหม่ๆ ใครก็อยากจะเรียน และที่สำคัญ เรียนจบมาแล้วไม่ตกงาน ตอนนั้นก็ได้โควต้าเรียน คณะวิทยาศาสตร์ของราชภัฏอุตรดิตถ์ ก็เลยตัดสินใจ เลือกมาเรียนทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ เพราะถือเป็นโอกาสดีที่มีการแข่งขันสูง ก็เรียนอยู่ 4 ปี ได้ ปริญญาตรี พอหลังจากจบปริญญาตรี ก็ได้เริ่มทำงาน บ้างนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ถือโอกาสมาเรียนต่อปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก ช่วงนั้นก็ อาศัยอยู่กับเพื่อบ้าน อยู่หอบ้างสลับกันไป ซึ่งช่วงนั้น IT หรือเทคโนโลยีสารสนเทศ มาแรง เป็นหลักสูตรที่ เปิดน้อยและแข่งขันสูง มีคนมาสมัครเป็นร้อย แต่เอา แค่ 30 คน เผอิญผมไปสอบแล้วผมก็สอบติดด้วย ก็เลย ตัดสินใจเรียนก็เป็นไอทีรุ่น 1 ของ ม.นเรศวร
"พอจบปริญญาโท ผมก็เริ่มมองหาที่จะมาสอบ ทำงานที่มหาวิทยาลัยอะไรดี ช่วงนั้นความต้องการ คนจบคอมพิวเตอร์ค่อนข้างสูง ก็เลยมาสอบที่ บ้านสมเด็จเจ้าพระยา ก็สอบได้ มาเป็นอาจารย์สอน ทางด้านคอมพิวเตอร์ไอที ก็คือมาอยู่สาชาวิทยาการ คอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยราชภัฎฯ ตั้งแต่ปี 47"
เราขอย้อนถามชีวิตในวัยเรียนตอนเด็กๆ มีความ ลำบากอย่างไรหรือไม่เพียงใด อาจารย์คณกร บอกว่า ครอบครัวถือว่ามีฐานะปานกลาง ไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ คือเรามีความใฝ่เรียนรักเรียนตั้งแต่เด็ก บางอย่างเรา ก็ต้องอดทน ครอบครัวก็ถือว่าส่งลูกเรียนได้ ผมก็มี พี่น้องรวมกัน 3 คนผมเป็นคนที่2,คนโตเป็นผู้หญิงและ คนเล็กก็เป็นผู้ชาย ก็เกิดไล่เลี่ยกันมาเลยนะก็ไล่ๆกัน ห่างกันปีเว้นปีๆ นะครับสบายมากใช่ๆ ก็ก็กลางๆ กลางๆ ก็ไม่ได้ว่าสะดวกสบายเหมือนคนอื่นเขานะครับ ทั้งหลายเนี่ยบางทีเนี่ยเขามีของ เขามีรถมอเตอร์ไซค์ เขามีคอมพิวเตอร์ในช่วงนั้นแพงมากทั้งหลายและเครื่องนึง หลายตังค์ ผมช่วงนั้นจำได้ว่า คอมพิวเตอร์มันแพง ผมเรียนคอมพิวเตอร์แต่ยังไม่มีใช้เลย ผมเรียนทางด้าน การเขียนโปรแกรม เป็นโปรแกรมเมอร์ก็ต้องมาใช้ของมหาวิทยาลัย ดังนั้น มันเป็นตัวอย่างให้กับน้องๆ ได้เลยว่าไม่ใช่เรียนคอมพิวเตอร์จะต้องมีคอมพิวเตอร์นะ ผมไม่มีคอมพิวเตอร์ผมยังจบวิทยาการคอมพิวเตอร์ได้เลย เพราะที่สถาบันมหาวิทยาลัยเขาก็จะมี supportให้อยู่แล้ว
อาจารย์คณกร เล่าให้เราฟังด้วยว่า ในช่วงที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร ก็เริ่มทำงานบ้างแล้ว เราจบปริญญาตรีทางด้านคอมพิวเตอร์ ก็ได้งานตั้งแต่จบเลย ก็เป็นอาจารย์อยู่ที่อุตรดิตถ์บ้าง รับสอนที่ราชภัฏบ้าง สอนวิทยาลัย สอน ปวช. ปวส.บ้าง เป็น อาจารย์พิเศษของราชภัอุตรดิตถ์ด้วย ก็สอนทางด้าน คอมพิวเตอร์ ที่พิษณุโลกก็ไปเรียนศุกร์เสาร์อาทิตย์ วันธรรมดาก็ทำงาน ศุกร์เสาร์อาทิตย์ต้องเดินทางไป เรียน พักอยู่ที่หอพักเพื่อนบ้าง เช่าเองอยู่บ้างอะไร อย่างนี้ครับ
ต่อข้อถามว่า มีความตั้งใจมาตั้งแต่เด็กหรือเปล่า ที่จะเข้ามาเรียนทางด้านคอมพิวเตอร์ อาจารย์คณกร เปิดเผยว่า ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าอะไรก็ได้ขอให้ เรียนแล้วมีงานทำ อะไรก็ได้ที่เรียนแล้วมีงานทำได้ หมดทุกอย่าง แต่ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่คอมพิวเตอร์ และไอทีมาแรง เป็นสิ่งใหม่ ประมาณสัก 30 ปีกว่า แล้วมั้ง ช่วงนั้นถือว่ามาใหม่ๆ internet ยังไม่มีเลย อินเทอร์เน็ตเพิ่งเริ่มเข้ามาตอนนั้น ผมจำได้ผมยัง เขียนเว็บไซต์อยู่เลยมาใหม่ๆ ถือว่าฮือฮามากในการ ทำรูปทรงเว็บไซต์
อาจารย์คณกร บอกต่อด้วยว่า พอมีโอกาสได้เรียนต่อ โท ก็เรียนเลย ตัดสินใจเรียนเลย เพราะปริญญาตรี เราก็เรียนมาทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ ปริญญาโทเราก็เรียนทางด้านไอที ในยุคนั้นที่ผมเรียนที่ ม.นเรศวร ไม่มีอาจารย์ทางด้านคอมพิวเตอร์เลย นะครับ ไม่มีเลย ต้องเป็นอาจารย์มาจากกรุงเทพฯ ไป สอนหมดเลย เช่น จากลาดกระบังไปเยอะหลายคน จากเอแบค จาก ม.เกษตร คืออาจารย์ที่ไปสอนผมที่ เป็นรุ่นแรกนี่ จะเป็นอาจารย์ที่จบจากเมืองนอกทั้งนั้น สมัยนั้น อาจารย์ที่สอนคอมพิวเตอร์จะไม่มีใครจบ ด็อกเตอร์เมืองไทยเลย ต้องจบจากเมืองนอกทั้งนั้น ดังนั้น อาจารย์ที่สอนรุ่นแรกๆ ส่วนมากจะเป็นมหาวิทยาลัย ในกรุงเทพฯ ที่เขาจบจากเมืองนอก ก็ถือว่าโชคดีใด้เจอ อาจารย์ที่เก่งๆ หลายสถาบันไปสอนที่ม.นเรศวร รุ่นผม รุ่นแรกก็จบมาประมาณ 30 คน
พอจบปริญญาโท ผมก็เริ่มมองหาช่องทาง ก็ต้อง ขยับตัวเอง สอบที่นี่ตอนแรกจะไม่ได้มาแล้ว มากับ คุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อคุณแม่ขับรถมาส่งมาถึงนครสวรรค์ ทางบ้านสมเด็จฯ เขาก็รอสัมภาษณ์อยู่ สมัครอะไร เรียบร้อยหมดแล้ว เหลือเพียงแค่สัมภาษณ์อย่างเดียว ก็ขับรถมาถึงนครสวรรค์แล้วก็สองจิตสองใจประมาณ สัก 19.00 น. เกือบ 20.00 น. ก็คิดว่าไปไม่ทันแล้ว ก็เลยโทรมาขอสละสิทธิ์ จะหันหัวกลับอุตรดิตถ์ แต่ อาจารย์ทางนี้เขาบอกว่าอาจารย์มาเถอะมาถึงกี่โมง ก็จะรออยู่ ก็เลยโอเคเดินทางต่อ มาสัมภาษณ์ก็เลย ได้เข้ามาทำงาน ก็เป็นจุดเริ่มต้น
อาจารย์คณกร เล่าต่อด้วยว่า พอได้เริ่มเข้ามา ทำงานที่บ้านสมเด็จเจ้าพระยา ตอนนั้น เราก็เป็น หนุ่มไฟแรงอยู่แล้ว ตั้งใจทำงานอยู่แล้ว คือผู้ใหญ่ให้ ทำอะไรเราก็ทำเต็มที่ ช่วงแรกพอเข้ามาได้มาสอนทาง ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ ก็ตรงกับที่เรียนมา ก็จะมา สอนทางด้านการเขียนโปรแกรมทฤษฎีบ้าง ปฏิบัติ บ้าง ก็สอนได้ประมาณสัก 1 ปี ก็มีอาจารย์ผู้ใหญ่ก็มา ชวนให้ไปทำงาน ก็คือก็ชวนไปทำจุดนั้นจุดนี้ ผมก็ไป ไปร่วมด้วยหมด ช่วงนั้นก็รู้สึกประมาณในปี 47-48
เริ่มแรกทางมหาวิทยาลัยบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ก็จะเปิดให้เรียนต่อระดับปริญญาเอก หมายถึงว่า จะให้ทุน ผมทำงานมาสักปีหนึ่งทางมหาวิทยาลัยก็มี โครงการที่จะทำหลักสูตรปริญญาเอกก็ให้ทุน เป็นการ ร่วมมือกันระหว่างบ้านสมเด็จกับที่ มหาวิทยาลัย เอดิธ โคแวน (Edith Cowan University หรือ ECU) ตั้งอยู่ที่เมืองเพิร์ท (Perth), รัฐเวสเทิร์นอสเตรเลีย ผมก็ตัดสินใจไปสอบแข่งกับเขาเหมือนกัน คือผมเป็น คนที่ถ้ามีโอกาสผมจะไม่พลาดเลย เช่นโอกาสที่เขามีทุน ให้เรียนต่อ ผมตัดสินใจเรียนเลย แล้วก็โชคดีด้วยเป็น คนที่อายุน้อยที่สุดในรุ่น
ขณะที่ช่วงนั้น บ้านสมเด็จมีแผนปรับขึ้นมา เป็นมหาวิทยาลัย ก็ต้องพัฒนาบุคลากรอยู่แล้ว ในช่วงนั้นก็เรียนศุกร์เสาร์อาทิตย์ ก็ทำงานไปด้วย ช่วงนั้นก็ได้รับทาบทามจากผู้ใหญ่เหมือนกัน ให้ไป เป็นผู้อำนวยการที่สุพรรณบุรี คือเรามีแคมปัสอยู่ที่ สุพรรณบุรีเรียกว่า ศูนย์การศึกษา สระยายโสม อำเภอ อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เราไปเปิดอยู่ที่นั่น ประมาณ 100 เกือบ 200 ไร่ ขณะนั้นผู้อำนวยการจะเกษียณ รองอธิการบดีก็มองเห็นถึงความสามารถของผม ก็เลย ได้ไปเป็นผู้อำนวยการที่นั่นด้วย คือที่บ้านสมเด็จ ก็สอนธรรมดา พอวันศุกร์ก็จะไปเป็นผู้อำนวยการ ที่สุพรรณบุรี ไปดูการเรียนการสอนบริหารที่นั่น
แรกๆ ก็เปิดปริญญาตรี ผมก็เป็นคนไปบุกเบิก เปิดสอนปริญญาโท ปริญญาโท ปริญญาเอก ก็มีหลาย หลักสูตรหลายสาขา เด็กๆ ก็มาเรียนกันเยอะมาก ใน ช่วงนั้นผมก็เป็นทั้งผู้อำนวยการที่สุพรรณบุรี ขณะ เดียวกันก็เป็นรองผู้อำนวยการสำนักคอมพิวเตอร์ ที่บ้านสมเด็จเจ้าพระยาด้วย ก็ทำทุกงาน ก็เลยรู้ระบบ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยเกือบทั้งหมด เป็นรุ่นยุคที่ก่อตั้งสำนักคอมพิวเตอร์ขึ้นมา ซึ่งตอนนั้น เป็นแค่เพียงศูนย์คอมพิวเตอร์เท่านั้น เป็นรุ่นที่ตั้ง สำนักคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเพื่อเทียบเท่าคณะ
อีกงานหนึ่งที่รับก็คือ ช่วงนั้นเป็นปีแรกๆ ที่ บ้านสมเด็จเจ้าพระยาเริ่มรับนักศึกษาจีนมาเรียนด้วย ผมก็เป็นรุ่นแรกที่รับนักศึกษาจีนมาเรียน คือ ปี 48 เป็นปีแรกที่ที่นำนักศึกษาจีนรุ่นแรกเข้ามาเรียน ที่บ้านสมเด็จฯ ผมก็เป็นคนดูแลเป็นที่ปรึกษา เรามี เครือข่ายอยู่ เรามีอาจารย์ทางด้านภาษาจีนอยู่ แล้วก็ ทางอธิการฯ สมัยนั้นเขาก็ประสานงานไปรับมา เรา ก็เป็นคนดูแล แล้วผมก็เป็นรุ่นแรกที่ผ่านนักศึกษาไทย ไปเรียนเมืองจีนด้วย ก็รับสมัครนักศึกษาไทยแล้วไป เรียน หลักสูตรระยะสั้นที่เมืองจีน ผมก็พาไปนักศึกษา ขึ้นเครื่องไปโดยส่วนใหญ่เข้ามาเรียนภาษาไทย ช่วงนั้น งานเยอะมาก ทำงานหนักมาก หลังจากนั้นก็ทำมา เรื่อยๆ หลังจากนั้นก็มาได้รับตำแหน่งรองคณบดีคณะ วิทยาศาสตร์ ก็ได้ออกจากผู้อำนวยการที่สุพรรณบุรี รวมถึงในสำนักคอมพิวเตอร์ด้วย เพราะงานเริ่มเยอะ ขึ้นมาก ก็เหลือแค่เป็นรองคณบดีคณะวิทยาศาสตร์ แล้วก็เรียนปริญญาเอกควบคู่กันไป
เป็นรองคณบดีคณะวิทยาศาสตร์ ได้ 1 สมัย คือ 4 ปี พอหมดวาระก็ได้มาเป็นรองคณบดีบัณฑิต วิทยาลัย 4-5 ปี ก็ได้เลื่อนขึ้นมาเป็นคณบดีบัณฑิต วิทยาลัยสมัยที่หนึ่ง 4 ปี จึงได้เริ่มบุกเบิก เปิด ปริญญาโท ปริญญาเอก รับนักศึกษาจีนมาเรียนทางด้านบัณฑิตวิทยาลัย หลังจากนั้นก็มีนักศึกษาจีนมาเรียนเป็นพันคน เข้ามาเรียนที่บ้านสมเด็จฯ เรามี ประสบการณ์ทางด้านปริญญาตรีอยู่แล้ว พอผมได้เป็น คณบดีบัณฑิตฯ ผมก็เปิดฉากไปเมืองนอกเลย พาทีมงานไปประชาสัมพันธ์ที่เมืองนอกกับมหาวิทยาลัย และลงนามความร่วมมือกันระหว่างมหาวิทยาลัย เขา ก็ส่งอาจารย์ของเขามาเรียนกับเรา
วิธีการเราไม่ได้รับสมัครทั่วไป ก็คือว่าเราไปลงนาม ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยที่ประเทศจีน เสร็จแล้ว เขาก็ส่งอาจารย์ของเขามาเรียนปริญญาโทกับเรา แล้วก็มาเรียนปริญญาเอกด้วย ช่วงนั้นเข้ามาค่อนข้าง เยอะ รวมๆ แล้วพันกว่าคน ส่วนใหญ่ก็เข้ามาเรียน ต่อยอดด้านการศึกษา บริหารการศึกษา หลักสูตรการ สอน เป็นหลัก แล้วก็มาเรียนทางด้านเทคโนโลยีก็มี ก็ มีหลายหลักสูตร ผมเองก็ขยายด้วย 20 กว่าหลักสูตร จากเดิมมี 5 หลักสูตร เป็น 25 หลักสูตร นักศึกษาไทย ก็มาเรียนเยอะ 700-800 คน เพราะว่าบริหาร การศึกษารับเยอะ ป.บัณฑิตวิชาชีพครูก็เรียนตั้งเป็น 100-200 คน รุ่นละ 200 คือว่าผมมองว่าตลาดไหน ต้องการ ผมเปิดหลักสูตรนั้น
ยุคสมัยเปลี่ยนไป จีนเราก็เปิดก่อนใคร บ้านสมเด็จฯ คืออะไรที่มาใหม่ ผมเปิดก่อนเลย เราถึงนำ ใน ช่วงผมนี่ ราชภัฏด้วยกัน บอกตรงๆ ไม่มีเด็กเรียนปริญญาโท ปริญญาเอกเลย มีแต่บ้านสมเด็จฯ นี่แหละ ครับที่มีเป็นพันคน เพราะเราเปิดก่อน เรารับนักศึกษาจีน เข้ามาทั้งหลายนี่ แล้วหลักสูตรก็เยอะ ในช่วงผม เป็นคณบดีเป็นบูมมาก เด็กค่อนข้างเยอะ แล้วมี มหาวิทยาลัยต่างๆ มาดูงานเยอะครับ มาดูที่บ้านสมเด็จฯ ค่อนข้างเยอะ ราชภัฎด้วยกันก็มาหลาย ที่ รวมทั้งมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ หลายมหาวิทยาลัยก็ มาดู เอ๊ะทำยังไง ทำไมรับเด็กได้เยอะขนาดนี้ ก็เรา เปิดหลักสูตรที่เขาต้องการ เขาต้องการหลักสูตรอะไร เราก็เปิดหลักสูตรนั้น
แต่เรามีคุณภาพ มีฝ่ายตรวจสอบ ต้องมีระบบ ทุกอย่าง แต่ทำอะไรต้องไว ถ้าเราทำช้าเราไม่ทันเขา อาจจะเป็นจุดนี้ก็ได้นะ ที่พวกเขาเลือกผมมาเป็น อธิการบดี เพราะหลายคนก็บอกว่านี่แหละ เพราะว่า เราทำผลงาน ผมหาเงินให้มหาวิทยาลัยปีละพันกว่า ล้านนะครับ ถึงวันนี้ก็เป็นอธิการบดีมาได้ประมาณ ปีครึ่งแล้วครับ
ต่อข้อถามว่าจะพัฒนามหาวิทยาลัยต่อไป อย่างไร อาจารย์คณกร บอกว่า "อันนี้คือโจทย์ หนักเลย เพราะว่าผมเข้ามาเป็นอธิการบดีในช่วงที่ มหาวิทยาลัยทั้งหมดขาลง ต้องยอมรับนะครับ ว่า มหาวิทยาลัยทั้งหมดขาลง เพราะเด็กเกิดน้อย ณ ปัจจุบัน ทั้งระดับโลก ทั้งระดับประเทศ สถิติ การเกิดของเด็กน้อยลงเรื่อยๆ เป็นทั้งระบบตั้งแต่ อนุบาล ประถม มัธยมทั้งหลาย เด็กเข้าระบบน้อยลง เกิดน้อย พอมาเข้าสู่ระบบมหาวิทยาลัย แข่งขันสูง มหาวิทยาลัยใหญ่ในปัจจุบันนี้ยังหนักใจ เปิดรับตรง ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้น จริงไหมครับ"
แล้วราชภัฏจะอยู่ยังไงครับ ราชภัฏเราต้องยอมรับว่า มหาวิทยาลัยเราเป็นมหาวิทยาลัยกลางๆ ก็ต้องปรับ ตัว เหมือนที่ผมบอกว่า โลกเปลี่ยน มหาวิทยาลัยก็ต้อง ปรับเปลี่ยน ทำหลักสูตร ยุบควบรวมหลักสูตรที่ไม่ทันสมัย หลักสูตรไหนไม่ตอบโจทย์ยุบ แต่ไม่ไล่อาจารย์ออก ให้อาจารย์ไปอัปสกิล รีสกิล แล้วก็ทำหลักสูตร ให้มันตรงกับเป้าหมาย ผมทำแล้ว แล้วเราก็มีเด็ก ยอดเพิ่มด้วย ปีแรกผมเข้ามาคือนักศึกษาประมาณสัก 2,000 คน แต่ปีนี้นักศึกษาเกือบ 3,000 คน ยอดเพิ่ม เพราะว่าเราปรับหลักสูตรที่ตอบโจทย์ เช่น หลักสูตร เคมี ชีวะ ฟิสิกส์ ไม่มีคนเรียนแล้ว ก็ปรับไปเป็น ชีวการแพทย์ ซึ่งหลักสูตรทางด้านวิทยาศาสตร์ สุขภาพกำลังมาแรง ดูแลผู้สูงวัยอะไรทั้งหลายนี่กำลัง มาแรง ก็ต้องปรับ ถ้าไม่ปรับก็อยู่ไม่ได้
ตอนนี้มีหลายหลักสูตรปรับเปลี่ยนหมด ตอนนี้ ผมก็กำลังจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ ซึ่งสภาฯ อนุมัติเรียบร้อยแล้ว ซึ่งพยาบาล รับเท่าไหร่ก็ไม่พอ คือคนมาสอบเยอะมากทุกที่ ยังไงก็รับไม่พอ ดังนั้น หลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรที่กำลังต้องการของสังคม ผมเลย ตัดสินใจเปิดพยาบาล แล้วตอนนี้สภามหาวิทยาลัย อนุมัติแล้วซึ่งน่ารับสมัครได้ในปีหน้า แล้วผมก็ตั้ง คณะสหเวชศาสตร์ ก็กำลังจะเข้าสภามหาวิทยาลัยใน เดือนนี้ เพราะว่าตอนนี้เรามีหลักสูตรเทคนิคการแพทย์เรามีแพทย์แผนไทย มีวิทยาศาสตร์สุขภาพ เรามี สาธารณสุข ตอนนี้ที่เปิดอยู่เด็กล้นครับ
ตอนนี้ผมตั้งคณะสหเวชศาสตร์เพื่อนำหลักสูตร ทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพมาอยู่ในกรุ๊ปเดียวกัน ตอนนี้ก็อยู่สังกัดคณะวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นคณะที่ โตมาก ทั้งคอมพิวเตอร์ ไอที ทั้งสาธารณสุข ทั้งอะไร เยอะแยะมากมาย ผมก็แยกออกมาเพื่อให้เขาเป็น กลุ่มเดียวกัน จะได้พัฒนาหลักสูตรทางด้านนี้ได้เต็มที่ ขยายรับเด็กได้ แชร์ทรัพยากรร่วมกัน ณ ขณะนี้ ถ้า เราไม่ทำ เราอยู่ไม่ได้เหรอครับ นี่คือต้องปรับตัวให้เข้า กับโลกในปัจจุบัน อะไรที่มาแรงต้องเล่นตรงนั้น ตอนนี้ เรามีคณะพยาบาลศาสตร์และเด็กเข้ามาแน่นอน เรามีคณะสหเวชศาสตร์ เรามีหลักสูตรที่ตอบโจทย์ กับเทคนิคการแพทย์อะไรทั้งหลายนี่ เราต้องคัดออก เพราะเราเอาแค่ 30-40
แต่เราก็จะขยายเพราะแชร์ทรัพยากรร่วมกัน เราจะเพิ่มอาจารย์ประจำหลักสูตรเข้าไป เพิ่มยอด หลักสูตรใหม่เราทำหลักสูตรระยะสั้นด้วย เช่น อบรม พยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล อันนี้ก็ยังเป็นที่ต้องการของ ตลาดอยู่ แล้วก็หลักสูตรที่กำลังมาแรงอีกช่วงนี้ก็คือ หลักสูตร ของผมรับเข้ามาแล้วก็ต้องคัดออกเยอะเด็กมาเป็นร้อยต้องคัดเด็กพวกนี้ออกหมด ดังนั้น จะ ทำอย่างไรขยายจำนวนให้ได้ นั่นก็คือแนวคิดที่เรา จะต้องทำ เราจะต้องขยายจุดนี้ออกไปเพื่อที่จะเพิ่ม ยอดเด็กให้ได้ เราต้องดูว่า ตอนนี้อะไรที่มาแรงล่าสุด AI มาแรง ณ ขณะนี้ใช่ เราหลีกหนี AI ไม่ได้เลย และ ตอนนี้เรากำลังเอา AI มาช่วยในการเรียนการสอน มาเป็นเครื่องมือ แล้วก็มาช่วยในการบริหารจัดการ ภายในเราด้วย คือเราต้องไม่อยู่นิ่ง เราต้องเปลี่ยนไป ตามโลก ไม่ใช่ตายไปกับสิ่งเดิมๆ
อีกเรื่องที่กำลังดูอยู่ก็คือ เรื่องของภาพลักษณ์ องค์กร ในยุคนี้ถ้าเกิดว่ามหาวิทยาลัยไม่เป็นที่รู้จักกับที่อื่น หรือเด็กไม่รู้จักหรืออะไรก็ตาม อยู่ไม่ได้ เหมือนกัน ดังนั้น ภาพลักษณ์องค์กร การทำแบรนด์ ให้กับองค์กรก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ ก็กำลังมุ่งมุ่งเน้นทาง ด้านนี้ด้วย ก็คือเป็นการสร้างภาพลักษณ์และการ สร้างแบรนด์ให้กับมหาวิทยาลัยของเรา คือ ถ้าพูดถึง บ้านสมเด็จเจ้าพระยาคืออะไร ทุกคนต้องตอบให้ ได้ มาเรียนที่สมเด็จเจ้าพระยาแล้วได้อะไรที่แตกต่าง จากที่อื่นยังไง เช่น ครู ทำไมตองมาเรียนที่บ้านสมเด็จ เจ้าพระยา ครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยาเหนือกว่าที่อื่น ยังไง ต้องทำแบรนด์ตรงนี้ออกมา ซึ่งตรงนี้ได้มอบหมายให้ทีมงานในการที่จะคิดงาน สร้างงานในเรื่องแบบนี้ขึ้นมา
"เราก็ทำกิจกรรมต่างๆ เราก็ปรับเปลี่ยนใหม่ หมด จากเติมไหว้ครูแบบนี้ รับน้องแบบนี้ เราเปลี่ยน รูปแบบใหม่หมด เอานักศึกษมามีส่วนร่วม มีจัด คอนเสิร์ตปฐมนิเทศ เด็กชอบ เด็กเช้าเยอะมาก จุดนี้ ทำให้เด็กรักในองค์กร ถ้าเรายังปล่อยเหมือนเติม ไหว้ครูเสร็จ ไม่มีกิจกรรมอะไรเลยก็เงียบไป ใน 1 ปี ที่ผ่านมาเรื่องนี้ก็ปรับเปลี่ยนไปพอสมควร"
ต่อข้อถามถึงความร่วมมือกับสถาบันใน ต่างประเทศเป็นอย่างไร อาจารย์คณกร กล่าวว่าเนื่องจาก ผมมีประสบการณ์มานาน ไม่ว่าจะเป็นอาเซียนด้วยกัน เกือบทุกประเทศก็มีความร่วมมือกัน แล้วก็โดย เฉพาะจีนก็มีอยู่หลายมหาวิทยาลัยมาก ไม่ว่าจะเป็น ออสเตรเลียเราก็มีเครือข่ายมานานแล้ว ทางยุโรปก็มี ตรงนี้เรากำลังมุ่งเน้นที่จะนำนักศึกษาต่างชาติ เข้ามาเรียนด้วย เรามีกิจกรรมแลกเปลี่ยนทางด้าน ศิลปวัฒนธรรม เราจะมีการแสดงดนตรี มีนาฎศิลป์ จะไปแลกเปลี่ยนกับต่างประเทศตลอด
ส่วนปรัชญาการทำงานและการดำเป็นชีวิต อาจารย์ คณกร บอกว่า ผมเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ผมพูดตรงๆ เลยเราจะเจริญเติบโตได้ ผู้ใหญ่ต้อง รัก และทุกครั้งที่มีโอกาสเข้ามาดีๆ อย่าไปปฏิเสธ โอกาส อย่างเช่น โอกาสเข้ามาให้เรียบริญญาโท ผมก็ตัดสินใจเรียนปริญญาโททันที โอกาสมาให้ เรียนเอก แม้กระทั่งเพิ่งมาทำงานก็ตาม ผมตัดสินใจ เรียนเลยเพราะโอกาสไม่ได้มาบ่อยครั้ง ผมมองว่า เมื่อผู้ใหญ่ให้โอกาสทำงานแล้ว เราก็ต้องต้องทุ่มเท ให้เต็มที่ ก็จะประสบความสำเร็จ