นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร รักษาการแทนกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการประชาคมคนทีจี ซึ่งมีผู้ร่วมประชุม อาทิ ผู้แทนฝ่ายต่าง ๆ ของบริษัทฯ ผู้แทนกองทุน ผู้แทนสมาคมสโมสรพนักงานการบินไทย ผู้แทนสหภาพฯ ต่างๆ และผู้แทนสหกรณ์ฯ
ว่า หลังจากที่บริษัทฯ เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการนั้น เพื่อให้การฟื้นฟูสำเร็จลุล่วงจนบริษัทฯ สามารถประกอบกิจการต่อไปได้ บริษัทฯ จำเป็นต้องปรับปรุงโครงสร้างองค์กร และกลยุทธ์ทางธุรกิจหลายๆ ด้านเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินงานมากขึ้น อันจะนำไปสู่การเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และการบริหารจัดการต้นทุนให้สามารถแข่งขันในตลาดได้
บริษัทฯ มีแนวคิดในการปรับโครงสร้างองค์กร โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเพื่อการเติบโตด้านต่างๆ การเพิ่มขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบ การมีขอบเขตการบังคับบัญชาที่เหมาะสม และมีโครงสร้างองค์กรราบและกระชับขึ้น
นายชาญศิลป์ กล่าวว่า บริษัทฯ จึงได้จัดโครงสร้างองค์กรที่เป็นแบบรวมศูนย์สำหรับงานเกี่ยวกับการเงินบัญชี การบริหารงานบุคคล การจัดซื้อ เพื่อลดความซ้ำซ้อนของงานและเป็นการใช้ข้อมูลร่วมกัน ส่งผลให้โครงสร้างองค์กรมีความกระชับและมีขนาดเล็กลง แต่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น รวมทั้งลดจำนวนผู้บริหารลงจาก 740 อัตรา เหลือประมาณ 500 อัตรา
อีกทั้งลดขั้นตอนการบังคับบัญชา จากเดิม 8 ระดับ เหลือ 5 ระดับ ได้แก่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ระดับ 14 ประธานเจ้าหน้าที่ ระดับ 12-13 ผู้อำนวยการ และกรรมการผู้จัดการ ระดับ 11-12 หัวหน้าฝ่าย ระดับ 10 และหัวหน้ากลุ่มงาน ระดับ 8-9 และแบ่งออกเป็น 8 สายงาน ได้แก่ 1.สายการพาณิชย์ 2.สายปฏิบัติการ 3.สายช่าง 4.สายการเงินและการบัญชี 5.สายทรัพยากรบุคคล 6.ฝ่ายดิจิทัล 7.ฝ่ายขับเคลื่อนองค์กร 8.หน่วยธุรกิจการบิน
ทั้งนี้ ภายในหน่วยงานดังกล่าว บริษัทฯ ได้เพิ่มหน่วยงานใหม่ 2 หน่วยงาน ได้แก่ ฝ่ายขับเคลื่อนองค์กร โดยจะทำหน้าที่ขับเคลื่อน ประสานเชื่อมโยงและรวบรวมความคิดริเริ่มที่มาจากพนักงาน เพื่อให้พนักงานมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนองค์กร ซึ่งขณะนี้มีโครงการริเริ่มแล้วกว่า 600 โครงการ
หากดำเนินการตามแผนคาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ และฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาองค์กร เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่วางแผน กำหนดทิศทางกลยุทธ์ในภาพรวม การสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ของบริษัทฯ และการบริหารจัดการบริษัทในเครือ
นายชาญศิลป์ กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ได้เปิดโครงการร่วมใจเสียสละเพื่อองค์กร ให้พนักงานสมัครใจเสียสละเข้าร่วมโครงการและลาออกจากบริษัทฯ แบ่งเป็น 2 โครงการ ได้แก่ โครงการร่วมใจจากองค์กรแผนบี เป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการลาระยะยาว โดยยินยอมรับเงินเดือน 20% เป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563-30 เมษายน 2564 และโครงการร่วมใจจากองค์กรแผนซี
โดยทั้งสองโครงการจะเปิดรับสมัคร แบ่งเป็น 4 ช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1 รับสมัครตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์-2 มีนาคม 2564 ช่วงที่ 2 รับสมัครตั้งแต่ 2-16 มีนาคม 2564 ช่วงที่ 3 รับสมัครตั้งแต่ 16 มีนาคม-1 เมษายน 2564 ช่วงที่ 4 รับสมัครตั้งแต่ 1-19 เมษายน 2564
ซึ่งพนักงานที่เข้าโครงการฯ จะได้รับเงินตอบแทนในอัตราเทียบเท่าค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน คำนวณจากค่าจ้างอัตราสุดท้ายของพนักงานตามกฎหมาย และยังมีเงินตอบแทนพิเศษเพิ่มเติม โดยพนักงานที่เข้าแพลนบี จะได้เงินตอบแทนพิเศษเพิ่มเติมเท่ากับเงินเดือน 4 เดือน ส่วนพนักงานที่สมัครใจเข้าโครงการ แพลนซี จะได้เงินตอบแทนพิเศษเพิ่มเติม เท่ากับเงินเดือน 0.5-1 เดือน ตามอายุของพนักงาน
ทั้งนี้ บริษัทฯ จะแบ่งจ่ายเงินช่วยเหลือดังกล่าวเป็นระยะเวลา 12 งวด โดยแพลนบี ช่วงที่ 1 เริ่มจ่ายงวดแรกในเดือนมิถุนายน 2564 และ ช่วงที่ 2-4 เริ่มจ่ายงวดแรกในเดือนถัดไปตามลำดับ ส่วนแพลนซี ช่วงที่ 1 เริ่มจ่ายงวดแรกในเดือนกันยายน 2564 และ ช่วงที่ 2-4 เริ่มจ่ายงวดแรกในเดือนถัดไปตามลำดับ
การทำงานในโครงสร้างองค์กรใหม่นั้น บริษัทฯ มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพการบริการและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยนำระบบดิจิทัลมาขับเคลื่อนองค์กร เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบประกอบการตัดสินใจในทางธุรกิจและสนับสนุนให้เกิดการทำงานข้ามสายงาน
โดยพนักงานทุกคนมีทิศทางและเป้าหมายร่วมกัน ภายใต้วิสัยทัศน์ขององค์กรที่กระตุ้นให้พนักงานแสดงความคิดเห็นด้วยวิธีการใหม่ ๆ เพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพื่อให้บริษัทฯ สามารถสร้างกำไร ควบคุมค่าใช้จ่าย ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงาน ทั้งในธุรกิจการบินและธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบิน
บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าการปรับโครงสร้างองค์กรในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทฯ มีความพร้อมที่จะกลับมาให้บริการและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน จนสามารถกลับมาเป็นผู้นำในตลาดอุตสาหกรรมการบินได้ ทั้งนี้ การฟื้นฟูกิจการจะประสบความสำเร็จได้ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย รวมถึงเจ้าหนี้และพนักงานทุกคน” นายชาญศิลป์ กล่าว