กรมประมงเร่งฟื้นฟู “ทรัพยากรสัตว์น้ำ” คืนสมดุลระบบนิเวศแม่น้ำโขง เพาะพันธุ์ปลา “ยี่สกไทย” ปล่อยสู่ธรรมชาติต่อเนื่อง
นายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แม่น้ำโขงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศวิทยาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบทำให้ทรัพยากรสัตว์น้ำในธรรมชาติมีปริมาณลดลง จนหลายชนิดเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ และยังกระทบต่อวิถีการประกอบอาชีพของชาวประมงริมฝั่งแม่น้ำโขง รวมถึงลำน้ำสาขาในหลายพื้นที่ประเทศไทย ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของผู้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในลุ่มแม่น้ำโขงได้มีความพยายามอย่างหนักที่จะจัดการกับผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ กรมประมงในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการสร้างความมั่นคงให้ทรัพยากรประมงในแหล่งน้ำธรรมชาตินั้น ได้มีการวางแนวทางเพื่อเร่งฟื้นฟูผลผลิตสัตว์น้ำ คืนความสมบูรณ์สู่ระบบนิเวศแม่น้ำโขงอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การมีส่วนร่วมของชุมชนและการบูรณาการของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน) ในการแก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากร พร้อมฟื้นฟูและเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำ ซึ่งจะเป็นการช่วยลดอุปสรรคในการประกอบอาชีพให้กับชาวประมง
โดยที่ผ่านมา ได้มีการเพาะขยายพันธุ์สัตว์น้ำประจำถิ่นสำหรับปล่อยคืนสู่แม่น้ำโขงและลำน้ำสาขา โดยเฉพาะ “ปลายี่สกไทย” หรือ “ปลาเอิน” ในภาษาถิ่นอีสานปลายี่สกไทย หรือปลาเอิน Probarbus jullieni Sauvage, 1880 เป็นปลาที่อยู่ในบัญชีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) บัญชี 1 ตั้งเเต่ปี 2518 จนปัจจุบัน มีการควบคุมการนำเข้าและส่งออกระหว่างประเทศ การส่งออกสามารถดำเนินการได้ภายใต้เงื่อนไขของอนุสัญญา CITES โดยผู้ที่ประสงค์ส่งออกเพื่อการค้าจะต้องขึ้นทะเบียนฟาร์มเพาะพันธุ์กับสำนักเลขาธิการ CITES ก่อนจึงจะสามารถดำเนินการส่งออกเพื่อการค้าได้
สำหรับในประเทศไทยสามารถพบปลาเอินได้ในหลายพื้นที่ เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำสังขละบุรี รวมถึงแม่น้ำโขง ปลาเอินเป็นปลามีเกล็ดน้ำจืดที่มีขนาดกลางถึงใหญ่ ประเทศไทยมีรายงานการพบปลาเอินขนาดใหญ่ในปี 2542 ที่ บ.ท่าไร่ไทยเจริญ ต.ท่าดอกคำ อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ โดยมีขนาดลำตัวยาว 1.5 เมตร เเละน้ำหนักมากกว่า 61 กก. ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นปลาน้ำจืดที่มีรสชาติดี เป็นที่นิยมบริโภคและมีราคาจำหน่ายในตลาดสูงถึงกิโลกรัมละ 200-250 บาท จึงเป็นแรงจูงใจทำให้มีการจับปลาเอินขึ้นมาใช้ประโยชน์เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ปริมาณปลาในธรรมชาติลดจำนวนลง
กรมประมงได้ให้ความสำคัญกับปัญหาการลดลงของทรัพยากรปลาเอินดังกล่าว จึงจัดตั้งแคมป์เพื่อรวบรวมพ่อแม่พันธุ์ปลาเอินจากธรรมชาติมาเพาะเเละขยายพันธุ์ด้วยเทคนิคการผสมเทียมเเละอนุบาลลูกปลา เพื่อปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติตั้งเเต่ปี 2517 เพื่อฟื้นฟูผลผลิตและคืนความสมบูรณ์สู่ระบบนิเวศแม่น้ำโขงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ปัจจุบันกรมประมงได้ดึงชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อตั้งแคมป์ริมฝั่งแม่น้ำโขงใน 2 พื้นที่ คือ 1. บ้านน้ำไพรอ. สังคม จ.หนองคาย และ 2. บ้านสองคอน อ. หว้านใหญ่ จ.มุกดาหาร เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์และรวบรวมพ่อแม่พันธุ์ปลาเอินที่ว่ายขึ้นมาวางไข่ในพื้นที่ดังกล่าว ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2563 – กุมภาพันธ์ 2564 สำหรับนำไปใช้เพาะขยายพันธุ์ด้วยการกระตุ้นฮอร์โมน แล้วพักพ่อแม่พันธุ์ปลาไว้ในถังไฟเบอร์บริเวณริมแม่น้ำโขงเพื่อรอรีดไข่ผสมน้ำเชื้อและลำเลียงไข่ที่ได้รับการผสมแล้วไปเพาะฟัก ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดจังหวัดหนองคาย ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดจังหวัดมุกดาหาร จนอนุบาลลูกปลาให้ได้ขนาด 5-7 เซนติเมตร จึงปล่อยลงสู่ลำน้ำโขงและลำน้ำสาขาที่ใกล้เคียง
นอกจากนี้ กรมประมง โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดเลย ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดมุกดาหาร ยังมีการดำเนินกิจกรรมกรรมเพิ่มผลผลิตปลาเอินในเเหล่งน้ำธรรมชาติ โดยการเพาะเเละปล่อยลงในเเหล่งนำธรรมชาติอีกด้วย
รองอธิบดีกรมประมง บอกอีกว่า ในปี 2564 กรมประมงวางเป้าหมายที่จะปล่อยปลายี่สกไทยคืนสู่ลำน้ำโขงและลำน้ำสาขาที่ใกล้เคียง จำนวน 5 แสนตัว โดยในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2564 จะทำการปล่อยลูกปลาล็อตแรกที่มีขนาด 5-7 เซนติเมตร ซึ่งเป็นขนาดที่มีอัตรารอดตายสูง จำนวน 1 แสนตัว ที่บ้านสองคอน อำเภอห้วยใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร
โดยเชื่อมั่นว่า จะทำให้พี่น้องชาวประมง ตลอดจนประชาชนทั่วไปที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มน้ำโขงได้รับประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำเริ่มฟื้นตัวในไม่ช้านี้ ซึ่งเป็นการสร้างอาชีพและรายได้จากการทำประมงให้แก่ชุมชนได้จำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่จะทำให้ทรัพยากรสัตว์น้ำในลุ่มน้ำโขงกลับมาคงความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง นั่นคือความร่วมมือ ร่วมใจจากผู้ใช้ทรัพยากรทุกภาคส่วนที่จะต้องมีสำนึกรับผิดชอบในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรโดยยึดหลักความยั่งยืน