จากกรณีที่ผู้เสียหายซึ่งเป็นพ่อค้า แม่ค้า สลากกินแบ่งรัฐบาลในจังหวัดนครราชสีมา กว่า 20 คน ได้รวมตัวกันนำหลักฐานการโอนเงินเข้าแจ้งความต่อพ.ต.ต.อัครเดช เพ็งวงษ์ สารวัตรสอบ สถานีตำรวจภูธรเมืองนครราชสีมา  เพื่อให้ดำเนินคดีกับ "ซ้อปุ๊ก" เจ้าของบริษัทกุญแจเศรษฐี จำกัด ในข้อหาฉ้อโกงเงินค่าจองซื้อและฝากขายสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดประจำวันที่ 1 มิถุนายน 2564 เป็นจำนวนเงินกว่า 85 ล้านบาท โดยผู้เสียหายระบุว่า ทุกคนได้โอนเงินเพื่อจองซื้อและฝากขายสลากฯ งวดประจำวันที่ 1 มิถุนายน 2564 ให้กับบริษัทกุญแจเศรษฐี ผ่านบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่บัญชี 411-1-06593-9 เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา เมื่อถึงวันนัดรับสลากฯกลับไม่ได้รับและพยายามทวงถามหลายครั้งแต่ไม่ได้รับคำตอบ

ต่อมา "ซ้อปุ๊ก" เจ้าของบริษัทกุญแจเศรษฐี ได้แจ้งให้ผู้เสียหายทราบทางไลน์ว่า ตนเองได้ติดต่อซื้อขายสลากฯ จากนายวุฒิภัทร เลิศลบ ยี่ปั๊วรายใหญ่ที่กรุงเทพมหานคร และได้โอนเงินของผู้เสียหายทั้งหมด รวมทั้งเงินตนเองอีก รวมกว่า 105 ล้านบาท ไปให้กับนายวุฒิภัทรฯ และกำหนดส่งมอบสลากฯ จากนายวุฒิภัทร เลิศลบ ในวันที่ 4-6 พฤษภาคม 2564 แต่จนถึงปัจจุบัน บริษัทกุญแจเศรษฐี จำกัด ก็ยังไม่ได้รับสลากจากนายวุฒิภัทรฯ แต่อย่างใด และมาทราบภายหลังว่า นายวุฒิภัทรฯ ได้ถูกตำรวจออกหมายจับในข้อหาฉ้อโกงแล้ว เนื่องจากมีผู้เสียหายในลักษณะเดียวกันทั่วประเทศอีกหลายรายเข้าแจ้งความดำเนินคดี ซึ่งตนเองก็ได้นำหลักฐานการโอนเงินให้นายวุฒิภัทรฯ จำนวน 3 บัญชี เป็นเงินกว่า 105 ล้านบาท เข้าแจ้งความกับ ร.ต.อ.วินัย แสนสุข รอง สว(สอบสวน) สภ.โพธิ์กลาง อ.เมืองนครราชสีมา ให้ดำเนินคดีกับนายวุฒิภัทรฯ ในข้อหาฉ้อโกงแล้วเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา

ล่าสุดวันนี้กลุ่มผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อกว่า 10 ราย ได้นำหลักฐานเข้ายื่นขอความช่วยเหลือจาก นายพรเทพ เจริญพงศ์อนันต์ ประธานสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา ณ สำนักงานสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา ถนนสืบศิริ ซอย 3 ต.ในเมือง อ.เมืองนครราชสีมา เพื่อให้สภาทนายความช่วยเหลือคดี ซึ่งตัวแทนผู้เสียหายระบุว่าได้ไปแจ้งความไว้แล้วแต่คดีไม่คืบเกรงว่าเจ้าของบริษัทกุญแจเศรษฐีจะหลบหนีเพราะมูลค่าเงินที่ถูกฉ้อโกงไปมีมากกว่า 100 ล้านบาท โดยนายพรเทพฯประธานสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมา ได้รับเรื่องไว้ยินดีให้ความช่วยเหลือ โดยหลังรับเรื่องแล้วทางสภาทนายความจังหวัดนครราชสีมาจะได้ประชุมทีมงานทนายและตั้งทนายอาสากว่า 30 คน เพื่อดำเนินการโดยจะให้ทนายอาสา 1 คน ต่อ 1 คดี เพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อในคดีดังกล่าวให้เป็นแนวทางเดียวกันโดยจะศึกษาข้อมูลรูปคดีว่าจะเข้าข่ายยักยอกทรัพย์หรือฉ้อโกงหรือไม่ โดยจะเป็นการช่วยเหลือแบบทนายอาสาไม่คิดเงินแต่อย่างใด ซึ่งหลังได้ข้อมูลและหลักฐานจากผู้เสียหายแล้วก็จะมีการประชุมทีมทนายอาสาและสรุปรูปคดีเพื่อดำเนินการต่อไป