ผลการทดลองใช้วัคซีนป้องกัน "โควิด-19" ของ "แอสตราเซเนกา" เผยวัคซีน 1 โดส สร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างน้อย 1 ปี โดยสามารถกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันได้ในระดับสูงหลังฉีดโดสที่ 2 และ 3
วันที่ 1 ก.ค. 2564 แอสตราเซเนกา เผยผลการวิเคราะห์ย่อยจากการทดลองใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตราเซเนกา ในการศึกษากลุ่ม COV001 และ COV002 โดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด พบว่าสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ในระดับสูง ทั้งจากการเว้นระยะการฉีดวัคซีนโดสแรกและโดสที่สองเป็นระยะเวลากว่า 45 สัปดาห์ และการฉีดวัคซีนโดสที่สามเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันจากผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ฉบับก่อนตีพิมพ์ในวารสาร เดอะ แลนเซต ระบุว่าการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตราเซเนกาหนึ่งโดส มีผลทำให้ระดับแอนติบอดีในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นเป็นระยะเวลาอย่างน้อยหนึ่งปี การเว้นระยะในการฉีดวัคซีนวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตราเซเนกาโดสแรกและโดสที่สองห่างกันนาน 45 สัปดาห์ มีผลกระตุ้นให้ระดับแอนติบอดีในร่างกายเพิ่มขึ้นถึง 18 เท่า
เมื่อมีการอ่านค่าแอนติบอดี 28 วันภายหลังการฉีดวัคซีนโดสที่สอง พบว่าระดับแอนติบอดีจากการเว้นระยะระหว่างวัคซีนโดสแรกและโดสที่สองนาน 45 สัปดาห์ มีสูงกว่าระดับแอนติบอดีจากการเว้นระยะห่างระหว่างโดส 12 สัปดาห์ ถึง 4 เท่า บ่งชี้ว่าการเว้นระยะห่างระหว่างโดสที่นานขึ้นไม่ก่อให้เกิดผลเชิงลบ แต่ช่วยกระตุ้นระดับภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้นได้
นอกจากนี้ การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตราเซเนกา โดสที่สามห่างจากโดสที่สองเป็นระยะเวลา 6 เดือน สามารถกระตุ้นระดับแอนติบอดีให้เพิ่มขึ้นได้ 6 เท่า และส่งเสริมการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ในร่างกาย โดยยังพบว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตราเซเนกาโดสที่สาม มีศักยภาพสูงขึ้นในการป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์อัลฟา (B.1.1.7 หรือสายพันธุ์เคนท์), สายพันธุ์เบตา (B.1.351 หรือสายพันธุ์แอฟริกาใต้) และสายพันธุ์เดลตา (B.1.617.2 หรือสายพันธุ์อินเดีย)
ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตราเซเนกาโดสที่สองซึ่งเว้นระยะห่างขึ้น และโดสที่สาม พบการเกิดอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ต่ำกว่าการฉีดวัคซีนโดสแรก
สำหรับการทดลองในกลุ่ม COV001 และ COV002 ในครั้งนี้ มีอาสาสมัครอายุ 18-55 ปี ซึ่งได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตราเซเนกาแล้ว ทั้งที่ได้รับเพียงหนึ่งหรือสองโดส
การศึกษากลุ่ม COV001 จากการวิจัยในระยะที่หนึ่งและสองในกลุ่มควบคุมแบบสุ่มแบบอำพรางฝ่ายเดียว เพื่อประเมินวัคซีน AZD1222 ในด้านความปลอดภัย ความสามารถในการสร้างภูมิคุ้มกัน และประสิทธิผล ซึ่งมีจำนวนอาสาสมัครจำนวน 1,077 รายจากศูนย์ทดลอง 5 แห่งในสหราชอาณาจักร โดยอยู่ในกลุ่มอายุ 18-55 ปี ที่มีสุขภาพแข็งแรง กลุ่มอาสาสมัครสุ่มได้รับวัคซีน AZD1222 จำนวนหนึ่งหรือสองโดส ซึ่งมีปริมาณอนุภาคไวรัสที่ 5x1010 หรือวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น MenACWY หนึ่งโดส
มีการนำตัวอย่างเลือดของอาสาสมัครไปตรวจในช่วงเวลาต่างๆ ตั้งแต่วันแรก วันที่ 28 วันที่ 184 และวันที่ 364 เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยและการสร้างภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้อาสาสมัครซึ่งสมัครเข้าร่วมการทดลองระยะที่หนึ่งและอยู่ในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนสองโดสได้รับการตรวจสอบในวันที่ 3 วันที่ 7 วันที่ 14 และวันที่ 28 หลังจากได้รับวัคซีนแต่ละโดส
การศึกษากลุ่ม COV002 จากการวิจัยในระยะที่สองและสามในกลุ่มควบคุมแบบสุ่มแบบอำพรางฝ่ายเดียวจากศูนย์วิจัยหลายแห่งเพื่อประเมินวัคซีน AZD1222 ในด้านความปลอดภัย ประสิทธิผลและความสามารถในการสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งมีอาสาสมัครจำนวน 12,390 ราย ในสหราชอาณาจักรที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ประกอบด้วยผู้มีสุขภาพแข็งแรงและอาสาสมัครที่โรคประจำตัวซึ่งยังควบคุมอาการได้ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อไวรัส SARS-C0V-2 มากกว่าบุคคลทั่วไป กลุ่มอาสาสมัครสุ่มได้รับวัคซีน AZD1222 หนึ่งหรือสองโดส จากการฉีดเข้ากล้ามเนื้อซึ่งมีปริมาณอนุภาคไวรัสเทียบเท่ากับครึ่งโดส (มีจำนวนอนุภาคไวรัสที่ ~2.5 x 1010) หรือ เต็มโดส (มีจำนวนไวรัสที่ ~5 x 1010 ) เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น MenACWY
มีการนำตัวอย่างเลือดของอาสาสมัครไปตรวจในช่วงเวลาต่างๆ เป็นเวลา 1 ปีหลังการฉีดวัคซีนเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยและการสร้างภูมิคุ้มกัน อาสาสมัครที่แสดงอาการใกล้เคียงกับการติดเชื้อจะต้องตรวจยืนยันการติดเชื้อโควิด-19 ด้วยเทคนิค PCR นอกจากนั้นยังมีการเก็บเชื้อในโพรงจมูกไปตรวจสอบทุกอาทิตย์ เพื่อตรวจการติดเชื้อและเก็บข้อมูลด้านประสิทธิผลของวัคซีน