นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิม แบงก์) เปิดเผยว่า ปัจจุบันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ยังแพร่ระบาดทั่วโลก แต่หลายประเทศเริ่มปรับตัวและรับมือเพื่อให้ภาคธุรกิจดำเนินต่อไปได้ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะขยายตัวได้สูงถึง 6% ด้านเศรษฐกิจไทย ปัจจุบันยังไม่ฟื้น เป็นผลจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้รัฐบาลต้องประกาศมาตรการล็อกดาวน์ โรงงานในบางพื้นที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากจนต้องหยุดการผลิต จนหน่วยงานเศรษฐกิจสำคัญหลายแห่งคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวเพียงราว 1% ขณะที่การท่องเที่ยวยังรอวันฟื้น โดยการส่งออกจะกลายเป็นพระเอกประคับประคองและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังปี 2564 ต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกที่ขยายตัวถึง 15.5% โดยได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว โดยคาดว่าในปี 2564 ภาคส่งออกจะขยายตัวได้ไม่น้อยกว่า 10%

แม้สถานการณ์ส่งออกของไทยจะดีขึ้น แต่เอสเอ็มอีในประเทศไทยที่มีอยู่รวมกว่า 3.1 ล้านราย สามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้เพียง 1% เท่านั้น เนื่องจากธุรกิจขนาดกลางและขนาดยอม (เอสเอ็มอี) ส่วนใหญ่ไม่มีทักษะความรู้ในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเอสเอ็มอีในประเทศไทยควรได้รับประโชยน์จากากรส่งออกถึง 40-50% ฉะนั้น เอ็กซิม แบงก์ จึงมีเป้าหมายที่จะเข้าไปช่วยส่งเสริมเอสเอ็มอีให้สามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้ โดยมีเป้าหมายสนับสนุนเอสเอ็มอีให้สามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้เฉลี่ยปีละ 600-1,000 ราย และตลอดวาระการทำงานจะทำให้มีเอสเอ็มอีส่งออกไปต่างประเทศได้เพิ่มขึ้นรวมกว่า 100,000 ราย

เอ็กซิม แบงก์ จึงได้ขานรับนโยบายกระทรวงการคลัง เร่งขับเคลื่อนการฟื้นตัวของภาคส่งออกและเศรษฐกิจไทยอย่างรวดเร็วตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและการค้าระหว่างประเทศ โดย พัฒนา 4 ปัจจัยสู้วิกฤตโควิด-19 ควบคู่กับการตอบโจทย์โลกวิถีใหม่ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของภาคส่งออกและเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังปี 2564 ดังนี้

1. พัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ ตอบรับกระแสวิถีใหม่ เอ็กซิม แบงก์ จะสนับสนุนการลงทุนทั้งในและต่างประเทศในอุตสาหกรรมใหม่ อาทิ พลังงานทดแทน พาณิชยนาวีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และอุตสาหกรรมสีเขียว ดิจิทัล และสุขภาพ

2. พัฒนา เอสเอ็มอี ให้เป็นผู้ส่งออกรายใหม่เพิ่มมากขึ้น พร้อมให้คำปรึกษาแนะนำและอบรมบ่มเพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในทุกระดับ ผ่านกิจกรรมของศูนย์ความเป็นเลิศด้านการค้าของ เอ็กซิม แบงก์ (EXIM Excellence Academy : EXAC) รวมทั้งให้บริการทางการเงินรูปแบบใหม่ ๆ ที่จะทำให้เอสเอ็มอี เข้าสู่ธุรกิจส่งออกได้ทันที อาทิ สินเชื่อเครือข่ายครบวงจร (EXIM Supply Chain Financing Solution) เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจเอสเอ็มอีที่เป็นผู้เกี่ยวเนื่อง (ซัพพลายเออร์) ของผู้ประกอบการรายใหญ่โดยไม่ต้องใช้หลักประกันเพิ่ม

3. พัฒนา พาวิลเลี่ยน (Pavilion) สำหรับการค้าออนไลน์ ภายใต้ชื่อ “EXIM Thailand Pavilion” เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยรายเล็กซึ่งมีข้อจำกัดในการเข้าถึงช่องทางดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นวิธีการค้าขาย การโพสต์สินค้า ตลอดจนขีดจำกัดด้านเงินทุน มีโอกาสค้าขายกับคู่ค้าในต่างประเทศทางออนไลน์ได้อย่างประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ ยังมีโอกาสได้รับการสนับสนุนทั้งทางการเงินและไม่ใช่การเงินจาก เอ็กซิม แบงก์ และหน่วยงานพันธมิตรควบคู่ไปด้วย

4. พัฒนาผลิตภัณฑ์ครบวงจรเพื่อเสริมสภาพคล่องและป้องกันความเสี่ยงให้แก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะเอสเอ็มอีไทย รวมทั้งมาตรการ พักหนี้ และเติมทุนเพื่อช่วยเหลือลูกค้าและผู้ประกอบธุรกิจส่งออกและเกี่ยวเนื่อง ผู้นำเข้า และนักลงทุนจากผลกระทบของโควิด-19 ตามนโยบายของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย

“เอ็กซิม แบงก์ จะเร่งพัฒนาปัจจัยต่างๆ ที่จะทำให้ภาคการส่งออกและเศรษฐกิจไทยเติบโตได้แม้ในภาวะวิกฤตและยั่งยืนต่อไปในอนาคต ซึ่ง เอ็กซิม แบงก์ พร้อมเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและให้เครื่องมือทางการเงินสำหรับบริหารจัดการธุรกิจของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยส่งเสริมการนำเข้าเครื่องจักร และเทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและเพิ่มมูลค่าสินค้า แม้ว่าผู้ส่งออกจะได้ประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่าลงในระยะสั้น แต่ภูมิคุ้มกันของผู้ส่งออกคือ ความแตกต่างอย่างโดดเด่นของสินค้าและบริการที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในโลกยุคใหม่ภายใต้วิถีใหม่ในระยะข้างหน้าได้” นายรักษ์กล่าว