นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย แถลงข่าวที่กระทรวงสาธารณสุข ถึงเรื่อง มาตรการปลอดภัยสำหรับร้านอาหารและสถานประกอบการในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (พื้นที่สีแดงเข้ม) ภายหลังได้รับการผ่อนคลายมาตรการเริ่มวันนี้เป็นวันแรก ว่า มาตรการที่ออกมาจะเป็นส่วนกำหนดทิศทางในอีก 1 เดือนข้างหน้า คือเริ่มบังคับใช้ 1 ต.ค. 2564 ควบคู่กับ Universal Prevention (UP) การป้องกันการติดเชื้อโควิดแบบครอบจักรวาล โดยมีรายละเอียดดังนี้
มาตรการปลอดภัยสำหรับองค์กร (COVID Free Setting)
COVID Free Environment (สภาพแวดล้อม)
Clean and Safe
Distancing
- พื้นที่ใช้เครื่องปรับอากาศ เว้นระยะระหว่างโต๊ะ 2 เมตร
- หากพื้นที่จำกัด จัดโต๊ะเว้นระยะไม่ถึง 1 เมตร ให้ทำฉากกั้น ทั้งนี้ ต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการระบายอากาศ
- พื้นที่มีเครื่องปรับอากาศ ไม่เกิน 50%
- พื้นที่เปิด (อากาศถ่ายเท) ไม่เกิน 75%
Ventilation
COVID Free Personnel (พนักงาน)
มีภูมิคุ้มกัน
ไม่พบเชื้อโดยการคัดกรอง
UP-DMHTA
COVID Free Customer (ลูกค้า)
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการและพนักงานในพื้นที่สีแดงเข้ม เปิดร้านได้ตามปกติ ไม่ต้องตรวจ ATK เป็นประจำ แต่เน้นว่าช่วงเดือน ก.ย.นี้ ให้ร้านเตรียมความพร้อมและยึดมาตรการ พนักงานไม่ต้องฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม แต่หากเร่งรัดให้ไปรับการฉีดวัคซีนภายในเดือน ก.ย. ได้ก็จะเป็นการดี และในแต่ละพื้นที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดอาจจะออกข้อกำหนดที่มากกว่าได้
สำหรับคำถามว่า เด็กจะไปทานอาหารในร้านกับผู้ปกครองได้หรือไม่นั้น อธิบดีกรมอนามัย ระบุว่า ใช้บริการได้ แต่ในพื้นที่สีแดงเข้มผู้ติดเชื้อยังสูง ซึ่งในกลุ่มเด็กมีเพียงกำหนดให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ช่วง 12-18 ปีเท่านั้น ถ้าจะพาเด็กไปรับประทานตามร้านก็ต้องประเมินความเสี่ยง สามารถปฏิบัติ ป้องกัน และร้านทำตามมาตรการที่น่าเชื่อถือหรือไม่ แต่ก็ต้องรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นกรณีมีเด็กอาจสั่งเดลิเวอรี่จะปลอดภัยกว่า
ส่วนการประเมินผลมีกลไกการติดตามร้านอาหารว่ามีการดำเนินการตามมาตรการ ดังนี้
1. เจ้าของร้านอาหาร จะต้องประเมินตนเอง ประเมินตนเองผ่านระบบ Thai Stop Covid Plus ของกรมอนามัย และติดประกาศนียบัตรด้านหน้าสถานประกอบกิจการ ที่เห็นชัดเจน สำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดจะต้องมีการประเมินตนเองซ้ำทุก 14 วัน โดยร้านอาหารต้องดำเนินการตามมาตรการอย่างเคร่งครัด
2. กำกับ ติดตาม และประเมินมาตรการ โดยเจ้าหน้าที่ โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นแกนหลัก บูรณาการร่วมกับหน่วยงานสาธารณสุข (สสจ./สสอ./รพ./รพ.สต.) และสมาคม/ชมรมผู้ประกอบการในระดับพื้นที่ในการสุ่มประเมิน และประเมินการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว
3. ข้อมูลจากประชาชนที่เข้าใช้บริการสถานประกอบกิจการ โดยสามารถประเมินสถานประกอบการผ่าน QR code จากใบประกาศของระบบ Thai Stop COVID Plus หรือร้องเรียนผ่านช่องทางอื่นๆ
นายแพทย์สุวรรณชัย ระบุต่อไปว่า ความสำเร็จในการพยายามควบคุมโควิด-19 อยู่ในระดับที่ระบบสาธารณสุขจะรองรับได้ ไม่ได้เกิดจากภาครัฐฝ่ายเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือ ความรับผิดชอบของผู้ประกอบการ เจ้าของร้าน พนักงาน รวมถึงลูกค้า ซึ่งร้านก็ต้องประเมินตนเอง หากพบว่าไม่ผ่านเกณฑ์ก็ต้องปรับปรุง ขณะที่ลูกค้าก็ประเมินผ่าน TST ซึ่งส่วนใหญ่ร้านจะคัดกรองแต่อาการ ซึ่งมากกว่า 80% ของผู้ป่วยโควิด-19 ไม่มีอาการแต่แพร่เชื้อได้ ทั้งนี้ ประชาชนสามารถแยกแยะได้ว่าร้านไหนทำครบถ้วน แต่สิ่งที่ต้องช่วยกันคือหากพบเห็นร้านไม่ดำเนินการตามมาตรการให้สแกนคิวอาร์โค้ดแจ้งมายังกรมอนามัย จะมีการฟีดแบ็กไปที่ท้องถิ่นไปตรวจเตือน แนะนำ และดำเนินการตามกฎหมาย
“ฝากพี่น้องประชาชนว่า ในพื้นที่สีแดงเข้ม สถานการณ์การระบาดมีแนวโน้มที่ดี คือลดลง แต่จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันยังมากกว่าหลัก 10,000 ขึ้นไป นั่นหมายความว่าการแพร่ระบาดยังคงอยู่ในระดับสูง แต่ระบบสาธารณสุขยังรองรับได้ การที่มีมาตรการให้เปิดกิจการก็เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและลดผลกระทบของตัวผู้ประกอบการทุกระดับ ตลอดจนให้พี่น้องประชาชนสามารถออกไปใช้บริการยังกิจการที่มีการเปิด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องร่วมมือกันกำกับให้กิจการนั้นมีความปลอดภัย กับทั้งในส่วนของร้านอาหาร ผู้ประกอบการ พนักงาน และประชาชน ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความเข้มข้นและความร่วมมือกันอย่างเอาจริงเอาจังของทุกภาคส่วน จะทำให้กิจการที่ถูกเปิดนั้น จะต้องไม่ย้อนกลับไปปิดซ้ำอีกครั้ง เพราะจะยิ่งซ้ำเติมในเรื่องผลกระทบของผู้ประกอบการมากยิ่งขึ้น ย้ำทุกคนมาตรการ UP-DMHTA ทุกคนต้องร่วมยึดถือปฏิบัติในทุกสถานที่และทุกเวลาที่พบปะผู้คน”.