ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
คอลัมนิสต์ประจำอปท.นิวส์ ย้อนกลับ
การเรียกรับเงินค่าตอบแทนในการรับเข้าทำงาน
17 ต.ค. 2564

เขียนให้คิด : โดย ซีศูนย์

การเรียกรับเงินค่าตอบแทนในการรับเข้าทำงาน

สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่เคารพ ช่วงนี้เสียงปี่กลองเลือกตั้งท้องถิ่นน้องเล็ก 5 พันกว่าแห่ง เช่น อบต. เริ่มจังหวะจะโคนกันอีกยกในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2564 หลายท่านคงพร้อมเตรียมตัวเตรียมใจลงสู้ศึกครั้งนี้กันแล้ว ท่านที่เป็นผู้บริหารก็หมดหน้าที่ไปตั้งแต่ กกต.ประกาศให้มีการเลือกตั้งแล้วนะครับ

อย่าไปเซ็นอะไรหลังจากนั้นเข้าละ แล้วก็อย่าลืมรีบไปยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินหนี้สินเสียด้วยนะครับ ไม่เข้าใจยังไงก็ถามทาง ป.ป.ช.จังหวัดเขาได้ครับ ตอนนี้โควิทก็ยังไม่เบาบางลง ซ้ำน้ำก็ท่วมอีกหลายจังหวัด ระหว่างเขียนบทนี้น้ำเหนือจ่อรอเข้า กทม.แล้ว ก็ไม่ทราบว่าปีนี้เหตุเภทภัยมันทำไมจึงมากมายเช่นนี้ แถมการเมืองระดับชาติก็วุ่นวายกันไปหมด ก็คงต้องสวดมนต์อย่างท่านนายกฯ ว่า แล้วกระมัง

มาว่าของเราอีกสักเรื่องนะครับ คราวนี้จะเล่าเรื่องการเรียกรับเงินค่าตอบแทนในการรับเข้าทำงานของท้องถิ่นนะครับ เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อหลายปีมาแล้ว มีนายเก่ง ซึ่งทำมาหากินในท้องที่บ้านเกิดตัวเองในตำบลหนึ่ง ไปบอกนางยุ่ง อาของตนว่า นายโจ้ นายก อบต.กับนางรุ่ง เมียนายกโจ้ ซึ่งแยกกันอยู่ ให้ช่วยหาคนเข้าไปทำงานเป็นพนักงานราชการตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการที่ อบต. เป็นเวลา 4 ปี เงินเดือนก็เท่าปริญญาตรีเดือนละ 15,000 บาท นายกโจ้บอกว่า สามารถหาวิธีให้รับเข้าทำงานได้ ท่านผู้อ่านก็คงทราบว่า ตำแหน่งนายก อบต. ย่อมทำได้ง่ายอยู่แล้วถ้าจะช่วยเหลือกันโดยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าตั้งพวกตัวเองเป็นกรรมการสอบบ้าง บอกข้อสอบบ้าง ทำหลักฐานการสอบเท็จว่า มีการสอบทั้งที่ไม่มีการสอบบ้าง จิปาถะที่เคยพบในเรื่องร้องเรียน

แต่นายกโจ้ แกบอกว่า ต้องจ่ายเงินให้เป็นการตอบแทนนะครับ จึงจะรับเข้าทำงานได้ เงินที่เรียกร้องไม่มากไม่น้อย250,000 ถ้วน นางยุ่ง แกอยากให้ลูกสาวของแกเข้าทำงานใกล้บ้านอยู่แล้ว ไม่ต้องไปรับจ้างทำงานบริษัทเอกชนที่ต่างจังหวัด จึงหลงเชื่อ นางยุ่งเลยตกลง แล้วไปกู้ยืมเงินไปให้นายกโจ้ หลังจากนั้นไม่กี่วัน นางยุ่งพร้อมด้วยนายเสือ สามีของตนกับเพื่อนบ้านอีกคน คือนายวุ่น ได้นำเงินสดจำนวน 250,000 ไปให้นายกโจ้กับนางรุ่ง เมียนายกโจ้ ที่บ้านพักของนายกโจ้กับเมีย และได้ส่งมอบเงินจำนวนดังกล่าวให้คนทั้งสอง โดยนางรุ่งเป็นคนรับและนับเงิน ขณะรับเงินกันนั้น มีนายกโจ้ นางรุ่ง กับฝ่ายผู้ให้ มีนางยุ่ง นายเสือ และนายวุ่น ร่วมอยู่ในเหตุการณ์รับเงินด้วย

ก่อนรับเงิน นายกโจ้กับนางรุ่ง ยังพูดโน้มน้าวว่า พวกตนรับรองว่า ลูกสาวได้ทำงานแน่นอน นางยุ่งจึงหลงเชื่อ และเพื่อเป็นหลักประกันว่า นายกโจ้กับเมียไม่โกงแน่นอน นางรุ่งยังได้เขียนหนังสือสัญญากู้เงินไว้เป็นหลักฐาน และนางรุ่งลงชื่อเป็นผู้กู้ นางยุ่งลงชื่อในฐานะผู้ให้กู้ และมอบสัญญาให้นางยุ่งไว้เป็นหลักฐาน ต่อมาหลังจากนั้นนานพอสมควร รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่เรียกลูกสาวไปทำงานซะที นางยุ่งแกทนไม่ไหว เงินก็จ่ายแล้ว ลูกสาวยังไม่ได้ถูกเรียกไปทำงาน แกเริ่มร้อนใจละครับ นางยุ่งเลยไปทวงถามนายกโจ้กับเมียหลายต่อหลายครั้ง แต่ทั้งคู่ก็ผัดผ่อนเรื่อยมา อ้างอย่างเดียวว่า จะจ้างให้ทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวตำแหน่งธุรการไปก่อนจะเอามั้ย โดยเสนอให้เงินเดือนๆ ละ 5,000 บาท

นางยุ่งกับลูกสาวเห็นว่า นายกกับเมียผิดข้อตกลงที่เคยบอกว่า จะให้ทำงานเดือนละ15,000 จนล่วงเลยมาเป็นปี นางยุ่งจึงคิดว่า ตนถูกหลอก นายกโจ้กับเมียเบี้ยวตนแน่ จึงไปทวงเงินคืนจากนายกโจ้บ้างกับนางรุ่งบ้าง นางรุ่งเมียนายกโจ้บ่ายเบี่ยงให้ไปทวงถามนายกโจ้เอง ตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้ว ถามกันบ่อยครั้ง แต่คนทั้งสองก็บ่ายเบี่ยงเฉไฉไปทุกครั้ง ไม่มีใครยอมรับผิดในการจะคืนเงินให้ นางยุ่งเลยเห็นว่า คงต้องให้ใครไปบีบแล้วละ จึงไปบอกเล่าให้ร้อยเอกหนู น้องชายของตนเองรู้

น้องชายนางยุ่งเมื่อรู้ว่า พี่สาวตัวเองถูกเบี้ยวแน่นอน จึงเดินทางไปพบนายกโจ้ที่ทำการ อบต. และทวงเงินคืน โดยร้อยเอกหนูไม่ไปเปล่า แกเอาเทปบันทึกเสียงไปแอบอัดเสียงการพูดคุยทวงเงินคืนระหว่างร้อยเอกหนูกับนายกโจ้ ซึ่งบันทึกเสียงไปประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง ได้ใจความตามเทปว่า นายกโจ้ยอมรับว่า เอาเงินของนางยุ่งจริง แต่อ้างว่า นางรุ่งเมียของตนที่แยกกันอยู่นำไปใช้หมดแล้ว ตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ต่อมานายกโจ้มายอมรับว่า ในวันจ่ายเงินตนนั่งอยู่ในเหตุการณ์เรียกรับเงินครั้งนี้ทุกขั้นตอน และจะขอคืนเงินให้ครึ่งหนึ่ง หลังจากที่ตนรับเปอร์เซ็นต์จากผู้รับเหมาที่ อบต.

เท่านั้นไม่พอ คงจะเกรงกลัวน้องชายนางยุ่งที่เป็นทหารจะทำอะไรเอา นายกโจ้จึงทำสัญญากู้ยิมเงินอีกฉบับให้ยึดถือไว้ โดยนายกโจ้ลงนามในสัญญาในฐานะผู้กู้เงินจำนวน 125,000 บาท นางยุ่งลงชื่อในฐานะผู้ให้กู้ แล้วยังให้ร้อยเอกหนูกับรองนายก อบต.คนหนึ่ง ร่วมรับรู้และลงชื่อในฐานะพยานในสัญญากู้ทั้งสองคน ต่อมามีการคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้กัน

เห็นมั้ยครับท่านผู้อ่าน พฤติการณ์เช่นนี้มีอยู่มากมายที่พ่อแม่หลายคนต้องเสียเงินเพื่อให้ลูกหลานตัวเองเข้าทำงานในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บางแห่งก็ไม่เป็นเรื่อง บางแห่งไม่ทำให้เขาตามที่ตกลงเขาก็ฟ้องร้องเอา เรื่องยังงี้จะดูว่าอีกผู้ให้ทำผิดด้วยมั้ย แน่นอนครับ ตามกฎหมายเป็นผู้ให้ผลประโยชน์เพื่อแลกเปลี่ยนให้ได้ตำแหน่งหรือประโยชน์อื่นใด ก็ผิดด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่ที่ว่าผู้จ่ายถ้าไม่สมประโยชน์แล้วไปร้องเรียนกัน ป.ป.ช.ก็ต้องถือว่า ใครที่เป็นผู้ถูกกล่าวหาเป็นเจ้าพนักงานของรัฐตำแหน่งใดก็ตาม เมื่อมีหน้าที่แล้วไปทำเยี่ยงนั้น ก็ต้องไปไต่สวนสอบสวนกันเพื่อหาข้อเท็จจริงและชี้มูลความผิด ส่วนฝ่ายผู้ให้ที่เป็นคนร้องเรียนจะไม่ไปยุ่งด้วย ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องรวมถึงเมียนายกด้วย ที่มีส่วนร่วมในการเรียกรับเงินเพื่อรับเด็กเข้าทำงานใน อบต. แต่ผิดเพียงผู้สนับสนุนเท่านั้น ส่วนฝ่ายผู้ให้ก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะถือว่าเป็นผู้ร้องเรียนเปิดโปงเรื่องราวทุจริต เว้นแต่มีคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยไปร้องเรียน เช่นนี้อาจโดนทั้งผู้ให้ผู้รับ แต่ผู้ให้อาจผิดเพียงเป็นผู้สนับสนุนเท่านั้นถ้าเป็นชาวบ้าน เพราะฉะนั้น ไม่ควรจ่าย ไม่ควรรับ เป็นดีที่สุดที่ไม่ต้องไปเสี่ยงกับ ป.ป.ช.หรือ ป.ป.ท.

สำหรับเรื่องที่เล่าข้างต้นนั้น ถ้าทาง ป.ป.ช.เห็นว่า เป็นเรื่องความเสียหายไม่มาก ก็อาจส่งให้พนักงานสอบสวนไปทำแทนก็ได้ เพราะข้อเท็จจริงก็ชัดเจนมาก ไม่ว่ามีคนกลางคือน้องชายนางยุ่งที่ไปติดต่อขอเงินคืนแล้วมีการอัดเทปบันทึกเสียงไว้ด้วย แต่ถ้าจะชัดอีกนิด ก็ควรจะไปถามคนให้นางยุ่งกู้เงิน 250,000 ด้วยอีกสักปาก เพื่อว่าจะได้รู้ว่า การที่นางยุ่งไปกู้ยืมเงินนั้น มีเหตุผลอะไร ผู้ให้กู้อาจให้ข้อมูลที่ชัดเจนยิ่งขึ้นก็ได้ คดีนี้นายกโจ้กับเมียก็ไม่รอดครับ

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 31 มีนาคม 2567
อปท.เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
27 ธ.ค. 2566
แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรทางการแพทย์ เป็นอาชีพที่ต้องเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น ไม่เพียงต้องดูแลรักษาผู้ป่วยตามหลักการทางการแพทย์เท่านั้น แต่ต้องเข้าใจและเข้าถึงจิตใจของผู้ป่วยอย่างแท้จริงอีกด้วย ดังนั้น ผู้ที่จะทำงานอาชีพนี้ ต้องมีหัวใจและอุดมการณ์ที่มีความเสียส...