นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวเมื่อวันที่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า รัฐบาลได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 36 กำหนดพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว และปลดล็อก มาตรการเคอร์ฟิวในพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว 17 จังหวัด จะเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ แบบไม่กักตัวและไม่จำกัดพื้นที่เที่ยว แต่ต้องได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว และมาจากประเทศเสี่ยงต่ำ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา ประกาศรายชื่อ 46 ประเทศ หรือพื้นที่ความเสี่ยงต่ำ ถือเป็นข่าวดีที่สุดในการช่วยฟื้นการท่องเที่ยวของไทย ทำให้ในช่วง 2 เดือนที่เหลือ (พฤศจิกายน-ธันวาคม) ของปี 2564 ภาคการท่องเที่ยวไทยจะมีความคึกคักมากขึ้น ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้แจ้งข้อมูลเบื้องต้นว่าแนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้น แต่จะเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ ขอประเมินสถานการณ์ก่อน

นายพิพัฒน์กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ยังมีเรื่องที่น่าเป็นห่วงคือ การตรวจหาเชื้อด้วยวิธีอาร์ที-พีซีอาร์ เมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางมาถึงจำเป็นต้องปรับรูปแบบ จากเดิมเมื่อนักท่องเที่ยวถึงสนามบินจะต้องตรวจหาเชื้อทันทีในสถานบิน แต่ขณะนี้ต้องปรับเป็นการตรวจหาเชื้อที่โรงแรม หรือที่พักแทน เพื่อลดความแออัดในพื้นที่สนามบิน เนื่องจากประเมินว่าในช่วงเดือนพฤศจิกายนจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมากกว่าเดิมหลายเท่า หากรอตรวจที่สนามบินอาจทำให้เกิดปัญหาความล่าช้าได้ ล่าสุดได้หารือกับผู้ประกอบการโรงแรมให้รับทราบและเตรียมพื้นที่ตรวจหาเชื้อโควิดให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติรอบริการไว้ โดยนักท่องเที่ยวจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองในอัตราไม่เกินคนละ 2,000 บาท จากการรายงานแนวโน้มตัวเลขนักท่องเที่ยว

“ในเดือนพฤศจิกายนนี้ เฉพาะจังหวัดภูเก็ต ททท.แจ้งยอดจองในเดือนพฤศจิกายนจะเข้ามาจำนวนมาก โดยมีอัตราการจองห้องพักในพื้นที่เกือบจะเกิน 50% ของจำนวนห้องพักทั้งหมดแล้ว โดยทั้งหมดได้ขอเป็นขอหนังสือรับรองการเดินทางเข้าไทย หรือซีโออีเข้ามาก่อน แต่เมื่อรัฐบาลมีการปลดล็อก กำหนดรายชื่อประเทศออกมาและเมื่อฉีดวัคซีนครบโดสแล้วให้เข้ามาตรวจในประเทศ หากมาจากประเทศเสี่ยงต่ำ ได้วัคซีนครบโดส และตรวจไม่พบเชื้อ เมื่อมาถึงจะไม่มีการกักตัว 7 วัน จึงคาดว่าน่าจะทำให้ยอดต่างชาติที่เข้ามาในเดือนธันวาคมนี้และเดือนต่อๆ ไปทะลักแน่นอน” นายพิพัฒน์กล่าว

นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า นักท่องเที่ยวจาก 46 ประเทศความเสี่ยงต่ำ ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว เมื่อเข้ามาจะไม่ถูกกักตัว จะมีการประกาศประเทศความเสี่ยงต่ำเพิ่มทุก 2 สัปดาห์ แต่ยังจำเป็นต้องยื่นเอกสารประกอบการเข้าประเทศ ผ่านไทยแลนด์พลัส ผ่านเว็บไซต์ www.tp.consular.go.th แทนการยื่นขอใบอนุญาตขอเดินทางเข้าราชอาณาจักร (ซีโออี) เริ่มวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป จะมีการตรวจสอบข้อมูลการได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 และหลักฐานการชำระค่าที่พักและค่าตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย เมื่อได้รับการยืนยันผลอนุมัติ จะได้รับไทยแลนด์พลัส คิวอาร์โค้ด

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ประมาณการแผนการเปิดประเทศของรัฐบาลในวันที่ 1 พฤศจิกายน แบบไม่ต้องกักตัว จะทำให้เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวกลับมาฟี้นตัว โดยในไตรมาสที่ 4/2564 และไตรมาสที่ 1/2565 ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยจะเติบโตในรูปแบบตัววี (V) และปีหน้าจะมีรายได้ประมาณ 50% ของปี 2562 ที่มีรายได้ 2 ล้านล้านบาท และในปี 2566 จะมีรายได้เพิ่ม 80% ของปี 2562 และขอย้ำให้ทุกภาคส่วนปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการดูแลความมั่นคงด้านสาธารณสุขตามแผนการเปิดประเทศของรัฐบาล