โดยแบ่งเป็นการลดการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลเดือนละ 1.0 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากวงเงินปัจจุบันที่ 8.0 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน และการลดการเข้าซื้อหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (mortgage-backed securities) เดือนละ 0.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากวงเงินปัจจุบันที่ 4.0 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน ซึ่งจะส่งผลให้วงเงิน QE ทั้งหมดที่ 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือนในปัจจุบันหมดลงในช่วงกลางปีหน้าตามที่เฟดได้ส่งสัญญาณไว้
ความกังวลหลักของเฟดอยู่ที่ประเด็นด้านเงินเฟ้อที่เร่งสูงขึ้นอย่างมาก และอาจจะลากยาวกว่าที่เคยประเมิน ซึ่งแม้ว่าการลดวงเงิน QE อาจจะไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาเงินเฟ้ออย่างตรงจุด เนื่องจากแรงกดดันเงินเฟ้อส่วนหนึ่งเกิดจากปัจจัยทางฝั่งอุปทานที่ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตนั้นสูงขึ้น
อย่างไรก็ดี การถอนนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายผ่านการลดวงเงิน QE จะช่วยลดอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (inflation expectation) และแรงกดดันเงินเฟ้อจากฝั่งอุปสงค์ ซึ่งจะช่วยหยุดยั้งวงจรเงินเฟ้อได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ ในระยะข้างหน้า ทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโมเมนตัมที่จะชะลอตัวลง ท่ามกลางปัญหาการขาดแคลนแรงงานรวมถึงความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังอยู่ในระดับสูง ในขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้ออาจจะลากยาวกว่าที่เคยประเมิน ส่งผลให้เฟดคงจะต้องชั่งน้ำหนักความเสี่ยงทางด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจและด้านเงินเฟ้อในการพิจารณาจังหวะที่เหมาะสมในการปรับขึ้นดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า
สำหรับผลกระทบในฝั่งตลาดเงินตลาดทุน เนื่องจากตลาดได้รับรู้แผนการลดวงเงิน QE ไปแล้วก่อนหน้านี้ ดังนั้น การประกาศลดวงเงิน QE ในการประชุมที่จะถึงนี้น่าจะส่งผลต่อตลาดเงินตลาดทุนให้เกิดความผันผวนอย่างจำกัด
อย่างไรก็ดี คงต้องติดตามผลการประชุมว่าเฟดจะส่งสัญญาณอะไรเพิ่มเติม ซึ่งหากเฟดส่งสัญญาณมุมมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญความเสี่ยงเชิงลบสูงขึ้น อาจส่งผลให้ตลาดคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยชะลอออกไปจากที่เคยคาด ซึ่งจะส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เผชิญแรงกดดันและมีแนวโน้มอ่อนค่าได้
ขณะที่หากเฟดส่งสัญญาณแสดงความกังวลต่อประเด็นเงินเฟ้อมากกว่าความเสี่ยงด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อาจส่งผลให้ตลาดคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่เคยคาด ซึ่งจะส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นได้ ซึ่งแนวโน้มค่าเงินบาทในระยะข้างหน้าคงผันผวนไปตามทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และปัจจัยในประเทศ