สนพ. เดินหน้ารับฟังความคิดเห็นกรอบ “แผนพลังงานชาติ” ต่อเนื่องเน้นประชาชนทุกภาคส่วนร่วมกำหนดนโยบายพลังงาน
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เดินหน้าเปิดรับฟังความคิดเห็น “กรอบแผนพลังงานชาติ” ผ่านระบบออนไลน์ และแบบออนไซด์ แล้วจำนวน 5 ครั้ง มีผู้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นกว่า 300 คน โดยมี นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน คาดแผนพลังงานแห่งชาติ จะเริ่มใช้ได้จริงปี 2566 ก่อนมอบให้แต่ละหน่วยงานจัดทำ 5 แผนย่อย เพื่อสรุปเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาอีกครั้งช่วงปลายปี 2565
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ในช่วงเดือนกันยายน 2564 เป็นต้นมานั้น สนพ. ได้ ดำเนินการจัดรับฟังความคิดเห็นกรอบแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan 2022) ในรูปแบบออนไลน์ และแบบออนไซด์ จำนวน 5 ครั้ง ซึ่งมีผู้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นกว่า 300 คน โดยได้รับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มต่าง ๆ ดังนี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรรม สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย (TAIA) กลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่น / กลุ่มผู้ค้ามาตรา 7 กลุ่มสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ผู้แทนด้าน Renewable Energy ผู้แทนจากสมาคมบริษัทจัดการพลังงานไทย ผู้แทนจากสมาคมค้าเอทานอลไทย ผู้แทนจากสมาคมผู้ผลิตไบโอดีเซลไทย ผู้แทนจากภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สถาบันการเงิน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา และคณะกรรมาธิการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน เป็นต้น
สำหรับกรอบแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan 2022) นั้น จะเป็นแผนที่กำหนดทิศทางของกรอบเป้าหมายนโยบายพลังงานให้มีทิศทางการดำเนินงานที่ชัดเจน ดังนั้น กรอบแผนนี้จะเป็นการบูรณาการว่าทิศทางในการพัฒนาพลังงานของประเทศในอีก 5 ปี 10 ปี และ 20 ปีข้างหน้านั้น จะไปสู่เป้าหมายได้อย่างไร อาทิ การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน หรือ Energy Transition ซึ่งเป็นการเปลี่ยนผ่านพลังงานจากการใช้ฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด พลังงานสีเขียว และการมีนวัตกรรมใหม่ต่าง ๆ มารองรับการเปลี่ยนผ่านนี้ ที่ทั่วโลกมีการเปลี่ยนการก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว รวมทั้ง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทั่วโลกได้มีการเตรียมการที่จะรองรับประเด็นนี้ไว้ตั้งแต่การประชุม COP21 หรือข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) เมื่อปี 2015 และล่าสุดในเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมาได้มีการประชุม COP26 ในระดับผู้นำ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ประกาศเจตนารมณ์ว่า ประเทศไทยจะบรรลุ “ความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality" ในปี 2050 และบรรลุการเป็นประเทศ Net Zero Emission ในปี 2065
ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นมลพิษสู่อากาศทั้งสิ้น 225 ล้านตัน โดยใน 225 ล้านตัน มาจากภาคพลังงาน 90 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 37 ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปลดปล่อยทั้งหมด และประมาณ 70 ล้านตัน หรือร้อยละ 29 พบว่ามาจากภาคการขนส่ง และเมื่อนำ 2 ส่วนมารวมกันก็คิดเป็นร้อยละ 60 ดังนั้น หากมีการกำหนดมาตรการลดคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ พร้อมกับมีการดำเนินการด้านการลงทุนของพลังงานสะอาดก็จะทำให้สำเร็จตามเป้าหมาย ทั้งนี้ สนพ. จึงมีการกำหนดกรอบแผนพลังงานนี้อีกครั้ง โดยมีการตั้งเป้าหมายว่าภายใน 5 ปี (พ.ศ. 2565 - 2569) จะมีความคืบหน้าในหลาย ๆ ด้าน เช่น การสนับสนุนใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่มีการประกาศนโยบาย 30@30 การสนับสนุนระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System: ESS) สำหรับการสำรองไฟฟ้าของยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะเชื่อมโยงไปถึงพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนที่จะเข้ามาในระบบปัจจุบัน การพัฒนาระบบสายส่งให้เป็นลักษณะการสื่อสารสองทาง (Two-Way Communication) เป็นต้น
ผอ.สนพ. กล่าวเพิ่มเติมว่า คาดว่าแผนพลังงานชาติ เริ่มใช้ได้จริงปี 2566 โดยยืนยันว่าการจัดทำแผนดังกล่าวยังเป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่เสนอ กพช. ทั้งนี้ การเปิดรับฟังความเห็นกรอบแผนพลังงานแห่งชาติ จะเป็นกรอบและทิศทางของแผนฯ ที่จะมุ่งสู่พลังงานสะอาดมากขึ้น และเพื่อแสดงถึงจุดยืนและการเตรียมการในการปรับเปลี่ยนให้รองรับแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านระบบเศรษฐกิจสู่เศรษฐกิจแบบคาร์บอนต่ำ (Neutral-carbon economy) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยและโอกาสในการดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศที่มีนโยบายมุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาด โดยเร็ว ๆ นี้ สนพ. จะเร่งเปิดรับฟังความเห็นจากภาคประชาชนทั่วประเทศ ตลอดจนสื่อมวลชน และ NGO ในลำดับต่อไป นอกจากนี้ประชาชนจากทุกภาคส่วนยังสามารถเข้าในการแสดงความคิดเห็นต่อกรอบแผนพลังงานชาติฉบับบนี้ได้ที่ www.eppo.go.th ตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งเชื่อว่าการเปิดรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนในสังคม จะทำให้ได้แผนพลังงานชาติที่ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นจัดทำแผนฯ ร่วมกันกำหนดทิศทางให้นโยบายด้านพลังงานของประเทศไทย และจะนำเสนอ กบง. และ กพช. ก่อนที่จะประกาศใช้อย่างเป็นทางการต่อไป