นายปิ่นยศ พิบูลสงคราม ผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์ สายการบินไทยเวียตเจ็ท กล่าวว่า สายการบินไทยเวียตเจ็ทประกาศเพิ่มความถี่เที่ยวบินในเครือข่ายเส้นทางบินภายในประเทศ ตอบรับความต้องการเดินทางที่เพิ่มสูงขึ้นของผู้โดยสาร เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นไป ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป สายการบินฯ จะเพิ่มความถี่เที่ยวบินบนเครือข่ายเส้นทางบิน รวมทั้งเส้นทางบินจากกรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) และเส้นทางบินข้ามภูมิภาค ดังตารางเที่ยวบินต่อไปนี้

-เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ความถี่เที่ยวบิน 12 เที่ยวบิน/วัน รอบบินทุกวัน

-เส้นทางกรุงเทพฯ-ภูเก็ต ความถี่เที่ยวบิน 8 เที่ยวบิน/วัน รอบบินทุกวัน

-เส้นทางกรุงเทพฯ-อุดรธานี ความถี่เที่ยวบิน 12 เที่ยวบิน/วัน รอบบินทุกวัน

-เส้นทางกรุงเทพฯ-ขอนแก่น ความถี่เที่ยวบิน 4 เที่ยวบิน/วัน รอบบินทุกวัน

-เส้นทางกรุงเทพฯ-นครศรีธรรมราช ความถี่เที่ยวบิน 3 เที่ยวบิน/วัน รอบบินทุกวัน

-เส้นทางภูเก็ต-เชียงใหม่ ความถี่เที่ยวบิน 1 เที่ยวบิน/วัน รอบบินทุกวัน

“เรามีความยินดีที่ได้เห็นตลาดเริ่มกลับมาฟื้นตัว โดยได้เร่งเพิ่มความถี่เที่ยวบินสำหรับเส้นทางบินภายในประเทศ ทั้งเส้นทางบินจาก กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) สู่หลากหลายปลายทางทั่วไทย รวมทั้งเส้นทางบินข้ามภูมิภาค และหวังว่าการเพิ่มความถี่เที่ยวบินของไทยเวียตเจ็ทจะช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบิน ด้วยการมอบโอกาสการเดินทางที่เพิ่มขึ้น สะดวกสบายยิ่งขึ้น พร้อมความสนุกสนานเป็นมิตร และราคาที่เข้าถึงได้” นายปิ่นยศ กล่าว

เร็วๆ นี้ สายการบินไทยเวียตเจ็ทได้ประกาศขยายเครือข่ายเส้นทางบินข้ามภูมิภาคภายในประเทศ เชื่อมต่อระหว่าง ภูเก็ต และ อุดรธานี มอบความสะดวกสบายและโอกาสการเดินทางที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นแก่ผู้โดยสาร เส้นทางบิน ภูเก็ต-อุดรธานี จะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 ด้วยความถี่จำนวน 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ (เที่ยวบินไป-กลับ) ทุกวันพุธ ศุกร์และอาทิตย์ รวมถึงเส้นทางบินข้ามภูมิภาคจาก ภูเก็ต สู่ เชียงราย และ เชียงใหม่ และเส้นทางบินตรงจาก หาดใหญ่ สู่ เชียงราย ผู้โดยสารสามารถตรวจสอบตารางเที่ยวบินและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.vietjetair.com

สายการบินไทยเวียตเจ็ทมุ่งมั่นเป็นผู้นำตลาดการบินภายในประเทศ พร้อมให้บริการผู้โดยสารด้วยความปลอดภัยในระดับสูงสุดระหว่างการเดินทางในช่วงการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 โดยดำเนินมาตรการทำความสะอาดและฆ่าอบเชื้อภายในอากาศยานอย่างเคร่งครัดตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้โดยสารและพนักงานทุกคน