กรมวิชาการเกษตร เตือนภัยเกษตรกรช่วงแล้งให้ระวังเพลี้ยไฟพริก อาการที่พบพริกร่วงไม่ติดผล รูปทรงพริกบิดงอ หากระบาดรุนแรงต้นพริกชะงักการเจริญเติบโตและแห้งตาย แนะสุ่มสำรวจพริก 100 ยอด/ไร่ทุกสัปดาห์ หากพริกขาดน้ำจะเปิดช่องทางให้เพลี้ยไฟระบาดไว พร้อมให้หมั่นสำรวจสวนเฝ้าระวังอีก 4 โรคสาเหตุจากไวรัสที่มีเพลี้ยไฟเป็นแมลงพาหะ
นายศรุต สุทธิอารมณ์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตรเปิดเผยว่า จากสภาพแวดล้อมและสภาพอากาศในช่วงเวลานี้อากาศเย็นและมีหมอกในตอนเช้า แดดจัดในตอนกลางวัน จึงขอแจ้งเตือนให้เกษตรกรผู้ปลูกพริกเฝ้าระวังการระบาด เพลี้ยไฟพริก ซึ่งมักจะพบการระบาดในช่วงที่มีสภาพอากาศแห้งแล้ง โดยตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยง จากยอด ใบอ่อน ตาดอก และดอก ทำให้ใบ หรือยอดอ่อนหงิก ขอบใบหงิกหรือม้วนขึ้นด้านบน ถ้าเข้าทำลายระยะพริกออกดอก จะทำให้ดอกพริกร่วงไม่ติดผล การทำลายในระยะผล จะทำให้รูปทรงของผลบิดงอ ถ้าการระบาดรุนแรงพืชจะชะงักการเจริญเติบโต หรือแห้งตายในที่สุด
แนวทางป้องกันแนะนำให้เกษตรกรสุ่มสำรวจพริก 100 ยอด/ไร่ทุกสัปดาห์ โดยเคาะลงบนแผ่นพลาสติกสีดำ และทำการป้องกันกำจัดเมื่อพบเพลี้ยไฟพริกเฉลี่ยมากกว่า 5 ตัวต่อยอด ในขั้นต้นควรเพิ่มความชื้นโดยการให้น้ำ อย่าปล่อยให้พืชขาดน้ำ เพราะจะทำให้พืชอ่อนแอ และเพลี้ยไฟพริกจะระบาดอย่างรวดเร็ว หากพบการระบาดให้ใช้สารฆ่าแมลงที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัดตามคำแนะนำ ได้แก่ สไปนีโทแรม 12% SC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไซแอนทรานิลิโพรล 10% OD อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คลอร์ฟีนาเพอร์ 10% SC อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ สไปโรมีซิเฟน 24% SC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ฟิโพรนิล 5% SC อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% EC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ อิมิดาโคลพริด 70% WG อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร โดยขณะพ่นสารควรปรับหัวฉีดให้เป็นฝอยที่สุด และพ่นให้ทั่วตามส่วนต่างๆ ของพืชที่เพลี้ยไฟพริกอาศัยอยู่ กรณีระบาดรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสภาพอากาศแห้งแล้ง ควรใช้ปุ๋ยทางใบ เพื่อช่วยให้ต้นพริกฟื้นตัวจากอาการใบหงิกได้ดีและเร็วยิ่งขึ้น
ผู้อำนวยการสำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กล่าวว่า นอกจากเพลี้ยไฟพริกแล้วเกษตรกรควรหมั่นสำรวจสวนและเฝ้าระวังโรคที่มีสาเหตุจากไวรัสที่มีเพลี้ยไฟเป็นแมลงพาหะ ได้แก่ โรคใบด่าง โรคเส้นใบด่างประ โรคใบหงิกเหลืองพริก และโรคใบด่างจุดวงแหวนเนื้อเยื่อตาย โดยแนวทางป้องกันโรคดังกล่าวแนะนำให้เกษตรกรใช้พันธุ์ต้านทานโรค ไม่นำผลพริกจากต้นที่เป็นโรคมาเพาะขยายพันธุ์ ควรเพาะกล้าพริกในมุ้งกันแมลง และคัดเลือกกล้าพริกที่แข็งแรงและไม่เป็นโรคมาปลูก หมั่นตรวจแปลงปลูกหากพบพริกที่แสดงอาการของโรคให้ถอนและนำไปทำลาย หรือฝังดินนอกแปลงทันที รวมทั้งหมั่นกำจัดวัชพืชในแปลงและรอบแปลงปลูก เพื่อลดแหล่งสะสมของเชื้อไวรัสและแมลงพาหะ เช่น สาบแร้งสาบกา กะเม็ง หญ้ายาง และกระทกรก นอกจากนี้ ต้องไม่ปลูกพืชหมุนเวียนที่เป็นพืชอาศัยของเชื้อไวรัส เช่น มะเขือต่างๆ ยาสูบ แตงกวา ฟักทอง บวบเหลี่ยม และ มะระจีน