พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 4/2565 ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมฯ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกฯ ได้ กำชับเรื่องการสื่อสารเพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องถึงประชาชน โดยที่ประเทศไทยมีจำนวนผู้เสียชีวิตจำนวนน้อย เมื่อเทียบกับหลายประเทศที่มีจำนวนประชากรใกล้เคียงกัน ซึ่งหมายความว่าประเทศไทยมีระบบการสาธารณสุขที่ดี ผู้ติดเชื้อเข้าถึงระบบรักษาพยาบาลได้ดี ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้มีการรายงานศักยภาพในการดูแลรักษา อัตราการครองเตียง ยา เวชภัณฑ์ ซึ่งยังเพียงพอต่อความต้องการใช้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมพิจารณา การดูแลรักษาประชาชนให้สะดวกมากขึ้น และให้ทุกหน่วยที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มงวดมากขึ้นเพื่อรักษามาตรการควบคุมโรค
ในส่วนของความก้าวหน้าวัคซีนโควิด-19 ที่วิจัยและพัฒนาในประเทศไทยนั้น นายกรัฐมนตรีขอบคุณและชื่นชมในความก้าวหน้าที่ทุกหน่วยงานทำงานร่วมกัน ทั้งยังให้กำลังใจกับผู้ปฏิบัติหน้าที่ และอวยพรให้ประสบความสำเร็จในการคิดค้น วิจัย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการเรื่องมาตรการการเปิดเรียน On site ในสถานศึกษา ให้มีการตรวจสอบ ดูแล ให้ครอบคลุมทุกโรงเรียน สถานการศึกษา ให้มีการดูแลจัดการอย่างดีที่สุด เพื่อให้มีการเรียนการสอน การเตรียมการสำหรับการสอบ การเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดเทอมปีการศึกษาหน้า ไปพร้อมกับการควบคุมโรค มีมาตรการด้านการสาธารณสุขที่เคร่งครัด รอบคอบ และมีแผนเผชิญเหตุที่เหมาะสม
นายกฯ ได้สั่งการให้ติดตามเบิก จ่ายค่าบริการโควิด 19 ให้ถูกต้อง เหมาะสม ไม่ซ้ำซ้อน และขอให้ในการตรวจสอบนั้น พิจารณาถึงต้นทุนของแต่ละโรงพยาบาลที่อาจมีต้นทุนที่ไม่เท่ากัน ในสถานการณ์ยากลำบากนี้ขอความร่วมมือให้ทุกหน่วยงานให้ความร่วมมือกับรัฐบาล
ส่วนมาตรการป้องกันโรคสำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักรนั้น ปัจจุบันมีโรงแรมที่พัก SHA Extra Plus ที่เข้าร่วมกว่า 2,541 แห่งจาก 49 จังหวัด มีผู้ยื่นคำขอ Thailand plus ช่วงระหว่างวันที่ 1-21 กุมภาพันธ์ 2565 จำนวนทั้งสิ้น 306,056 คำขอ มีการตรวจสอบและอนุมัติสะสมในระบบ Thailand Pass Hotel& Swab system แล้วคิดเป็นร้อยละ 98.56 ของจำนวนคำขอทั้งหมด มีการตรวจสอบเอกสารการได้รับวัคซีน และอนุมัติสะสมแล้วประมาณร้อยละ 80 ของจำนวนคำขอทั้งหมด โดยร้อยละ 20 ที่เหลือเป็นในส่วนของเอกสารไม่สมบูรณ์และไม่ถูกต้อง